ไฟฉุกเฉิน Sunny ดีไหม? ติดตั้งแบบไหนให้พร้อมทุกสถานการณ์
ไฟฉุกเฉินถือเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับอาคารและสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับกะทันหัน แบรนด์ SUNNY เป็นหนึ่งในผู้ผลิตไฟฉุกเฉินที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ด้วยคุณภาพและฟังก์ชันการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานหลากหลายกลุ่ม
ไฟฉุกเฉินคืออะไร? ทำไมต้องมีในทุกอาคาร
ไฟฉุกเฉิน (Emergency Light) คืออุปกรณ์ที่ให้แสงสว่างสำรองในกรณีที่ระบบไฟฟ้าหลักขัดข้อง เช่น ไฟดับ หรือเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอื่น ๆ การติดตั้งไฟฉุกเฉินในอาคารเป็นสิ่งจำเป็นตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถอพยพออกจากอาคารได้อย่างปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน
จุดเด่นของไฟฉุกเฉินแบรนด์ SUNNY เทียบกับแบรนด์อื่น
ไฟฉุกเฉินแบรนด์ SUNNY มีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้เป็นที่นิยมในตลาด ได้แก่
- คุณภาพของหลอดไฟ LED: ใช้หลอดไฟ LED คุณภาพสูงที่ให้แสงสว่างคงที่และประหยัดพลังงาน
- ระบบแบตเตอรี่ LiFePO4: แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LiFePO4) มีอายุการใช้งานยาวนานและปลอดภัยกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป
- ฟังก์ชัน Auto Test และ Auto Check: สามารถตรวจสอบการทำงานของระบบได้อัตโนมัติ ช่วยให้มั่นใจว่าไฟฉุกเฉินพร้อมใช้งานเสมอ
- การรับประกันที่ครอบคลุม: ระยะเวลารับประกันอาจแตกต่างกันไปตามรุ่นและประเภทของสินค้า โดยทุกสินค้ามีการรับประกันพร้อมการบริการหลังการขายที่ดี สามารถสอบถามเราเพื่อให้มั่นใจในรายละเอียดการรับประกันที่ถูกต้อง
รุ่นยอดนิยมและฟังก์ชันที่เหมาะกับสถานที่ต่าง ๆ
SUNNY มีรุ่นไฟฉุกเฉินหลากหลายที่ตอบโจทย์การใช้งานในสถานที่ต่าง ๆ
- รุ่น MESG: มาพร้อมระบบ Auto Check และแบตเตอรี่ LiFePO4 เหมาะสำหรับอาคารสำนักงานและโรงพยาบาล
- รุ่น SGM: มีฟังก์ชัน Motion Sensor ที่เปิดไฟอัตโนมัติเมื่อมีการเคลื่อนไหว เหมาะสำหรับทางเดินหรือพื้นที่ที่มีการสัญจรบ่อย
- รุ่น SG: มีระบบ Auto Test และแบตเตอรี่ LiFePO4 สำรองไฟได้นาน เหมาะสำหรับโรงงานและคลังสินค้า
- รุ่น TM: สามารถใช้งานเป็นโคมไฟปกติและตั้งเวลาการทำงานได้ เหมาะสำหรับบ้านพักอาศัย
- รุ่น EDLS: ดีไซน์แบบดาวน์ไลท์ ติดตั้งบนฝ้าเพดาน เหมาะสำหรับอาคารที่ต้องการความสวยงามและทันสมัย
เทคนิคติดตั้งไฟฉุกเฉินให้ทำงานอัตโนมัติทันทีเมื่อไฟดับ
การติดตั้งไฟฉุกเฉินให้ทำงานอัตโนมัติเมื่อไฟดับควรพิจารณาดังนี้:
- เลือกตำแหน่งติดตั้งที่เหมาะสม: ติดตั้งในจุดที่สามารถให้แสงสว่างครอบคลุมพื้นที่สำคัญ เช่น ทางเดิน บันได และทางออกฉุกเฉิน
- เชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าหลักอย่างถูกต้อง: เพื่อให้ไฟฉุกเฉินสามารถตรวจจับการขัดข้องของระบบไฟฟ้าและทำงานได้ทันที
- ทดสอบการทำงานหลังติดตั้ง: เพื่อให้มั่นใจว่าไฟฉุกเฉินสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟดับ
การตรวจเช็กแบตเตอรี่และระบบทดสอบอัตโนมัติ
การตรวจสอบและบำรุงรักษาไฟฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์พร้อมใช้งานเสมอ
- ระบบ Auto Test: ไฟฉุกเฉิน SUNNY บางรุ่นมีระบบทดสอบอัตโนมัติที่สามารถตั้งเวลาให้ตรวจสอบการทำงานของระบบเป็นระยะ ๆ
- การตรวจสอบแบตเตอรี่: ควรตรวจสอบสถานะของแบตเตอรี่เป็นประจำ และเปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อครบอายุการใช้งานที่กำหนด
- การทดสอบด้วยตนเอง: สามารถทดสอบการทำงานของไฟฉุกเฉินด้วยตนเองโดยการกดปุ่มทดสอบที่ตัวเครื่องหรือใช้รีโมทคอนโทรล
คำแนะนำการบำรุงรักษาไฟฉุกเฉินให้อยู่ได้นาน
เพื่อยืดอายุการใช้งานของไฟฉุกเฉิน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้:
- ทำความสะอาดอุปกรณ์เป็นประจำ: เพื่อป้องกันฝุ่นละอองที่อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบ
- หลีกเลี่ยงการติดตั้งในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง: เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดสนิมหรือความเสียหายต่อวงจรไฟฟ้า
- ตรวจสอบการทำงานของระบบอย่างสม่ำเสมอ: เพื่อให้มั่นใจว่าไฟฉุกเฉินพร้อมใช้งานเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
การเลือกใช้ไฟฉุกเฉินที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับสถานที่ใช้งานเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้งานในอาคาร แบรนด์ SUNNY มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและฟังก์ชันการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานในแต่ละสถานที่
หากคุณกำลังมองหาไฟฉุกเฉิน Sunny Emergency Light และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ สามารถติดต่อเราได้ที่ประธานการไฟฟ้าทุกสาขา หรือช่องทางอื่น ๆ ด้านล่าง
LINE : @prathanโทรศัพท์ : 02-892-7946 , 092-265-8564
วิธีอ่านโวลต์มิเตอร์แบบมืออาชีพ ช่างไฟต้องไม่พลาด
โวลต์มิเตอร์ (Voltmeter) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่างไฟฟ้าทุกคนควรรู้จักและใช้งานอย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถวัดแรงดันไฟฟ้าในวงจรได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับโวลต์มิเตอร์ ชนิดต่าง ๆ วิธีการใช้งาน และเทคนิคการอ่านค่าแรงดันไฟฟ้าอย่างมืออาชีพ
โวลต์มิเตอร์คืออะไร? ใช้วัดอะไรในวงจรไฟฟ้า
โวลต์มิเตอร์ (Voltmeter) คือ เครื่องมือที่ใช้วัดความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุดสองจุดในวงจรไฟฟ้า โดยมีหน่วยวัดเป็นโวลต์ (V) การวัดแรงดันไฟฟ้าช่วยให้ช่างไฟฟ้าสามารถตรวจสอบสถานะการทำงานของวงจรไฟฟ้า และระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น แรงดันตกหรือแรงดันเกิน
ชนิดของโวลต์มิเตอร์: Analog vs Digital
โวลต์มิเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นสองชนิดหลัก คือ
- โวลต์มิเตอร์แบบอนาล็อก (Analog Voltmeter): แสดงผลด้วยเข็มชี้บนสเกล เหมาะสำหรับการสังเกตแนวโน้มของแรงดันไฟฟ้า แต่การอ่านค่าอาจไม่แม่นยำเท่ากับแบบดิจิตอล
- โวลต์มิเตอร์แบบดิจิตอล (Digital Voltmeter): แสดงผลด้วยตัวเลขบนหน้าจอ LCD หรือ LED ให้ความแม่นยำสูงและอ่านค่าได้ง่าย เหมาะสำหรับการวัดแรงดันไฟฟ้าในงานที่ต้องการความละเอียดสูง
วิธีต่อโวลต์มิเตอร์ในแผงไฟหรือตู้ควบคุม
การต่อโวลต์มิเตอร์ในแผงไฟหรือตู้ควบคุมควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้:
- เลือกโวลต์มิเตอร์ที่เหมาะสม: พิจารณาจากแรงดันไฟฟ้าที่ต้องการวัด และเลือกโวลต์มิเตอร์ที่มีพิกัดแรงดันเหมาะสม
ต่อสายไฟ: ต่อสายไฟจากจุดที่ต้องการวัดแรงดันไฟฟ้าเข้ากับขั้วของโวลต์มิเตอร์ โดยต้องต่อขนานกับวงจรไฟฟ้า - ตรวจสอบการเชื่อมต่อ: ตรวจสอบความแน่นหนาของการเชื่อมต่อสายไฟ เพื่อป้องกันการหลวมที่อาจทำให้การวัดค่าไม่แม่นยำ
- เปิดวงจรไฟฟ้า: หลังจากติดตั้งเสร็จสิ้น ให้เปิดระบบไฟฟ้าและตรวจสอบการทำงานของโวลต์มิเตอร์
เทคนิคอ่านค่าแรงดันให้แม่น ตรวจไฟฟ้าได้ทันที
เพื่อให้การอ่านค่าแรงดันไฟฟ้าด้วยโวลต์มิเตอร์มีความแม่นยำ ควรปฏิบัติตามเทคนิคดังนี้:
- ตั้งค่าย่านวัดให้เหมาะสม: เลือกย่านวัดที่สูงกว่าค่าแรงดันที่คาดว่าจะวัด เพื่อป้องกันความเสียหายต่อโวลต์มิเตอร์
- ตรวจสอบขั้วต่อ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสายวัดต่อกับขั้วที่ถูกต้อง และไม่มีการหลวม
- อ่านค่าจากหน้าจอ: สำหรับโวลต์มิเตอร์แบบดิจิตอล อ่านค่าจากหน้าจอโดยตรง สำหรับแบบอนาล็อก อ่านค่าจากตำแหน่งของเข็มชี้บนสเกล
รวมปัญหาที่พบบ่อยเมื่อวัดไฟผิดวิธี และวิธีป้องกัน
| ปัญหาที่พบบ่อยในการวัดแรงดันไฟฟ้า | รายละเอียด | วิธีป้องกัน |
|---|---|---|
| เลือกย่านวัดไม่ถูกต้อง | อาจทำให้โวลต์มิเตอร์เสียหาย หรือแสดงค่าที่ไม่แม่นยำ | ตรวจสอบและเลือกย่านวัดให้เหมาะสมกับแรงดันที่คาดว่าจะวัดก่อนทุกครั้ง |
| การต่อสายวัดผิดขั้ว | อาจทำให้โวลต์มิเตอร์หรือวงจรไฟฟ้าเสียหาย อาจเกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน | ตรวจสอบขั้วต่อให้แน่ใจว่าต่อถูกต้องตามขั้วบวกและลบ และสายแน่นหนาไม่หลุดง่าย |
| สายวัดหลวม | ทำให้การวัดค่าไม่เสถียร ค่าที่ได้ผิดเพี้ยน หรือเกิดการอาร์คไฟฟ้าได้ในบางกรณี | ตรวจสอบความแน่นของสายวัดเสมอ และหลีกเลี่ยงการใช้สายวัดที่ชำรุดหรือหลวมเกินไป |
| ขาดความชำนาญในการใช้งาน | อาจทำให้เกิดความผิดพลาด เช่น วัดค่าผิด ย่านวัดผิด หรือเชื่อมต่อผิดจุด | ฝึกฝนการใช้งานโวลต์มิเตอร์บ่อย ๆ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ และเรียนรู้จากกรณีศึกษาต่าง ๆ |
โวลต์มิเตอร์คือเครื่องมือวัดแรงดันไฟฟ้าที่จำเป็นสำหรับช่างไฟฟ้า โดยมีทั้งแบบอนาล็อกและดิจิตอลให้เลือกใช้งานตามลักษณะงาน การใช้งานอย่างถูกต้องเริ่มตั้งแต่การเลือกย่านวัด การต่อสายวัดให้ถูกขั้วและแน่นหนา ไปจนถึงการอ่านค่าที่แม่นยำ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการวัดผิดพลาด ป้องกันอุปกรณ์เสียหาย และเพิ่มความปลอดภัยในงานระบบไฟฟ้า หากคุณกำลังมองหาโวลต์มิเตอร์คุณภาพสูง พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สามารถติดต่อเราได้ที่ประธานการไฟฟ้าทุกสาขา หรือช่องทางอื่น ๆ ด้านล่าง
LINE : @prathan
โทรศัพท์ : 02-892-7946 , 092-265-8564
ฐานฟิวส์คืออะไร? ติดตั้งยังไงให้แน่น ปลอดภัยทุกโหลด
ในระบบไฟฟ้า การป้องกันอุปกรณ์และผู้ใช้งานจากกระแสไฟฟ้าเกินหรือการลัดวงจรเป็นสิ่งสำคัญ ฟิวส์และฐานฟิวส์เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันเหล่านี้ บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับฐานฟิวส์ ประเภทของฟิวส์ วิธีการเลือกและติดตั้งฐานฟิวส์อย่างถูกต้อง รวมถึงเทคนิคการป้องกันความร้อนและอาร์คที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานฐานฟิวส์ผิดวิธี
ฐานฟิวส์คืออะไร? ทำหน้าที่รองรับอะไรในวงจร
ฐานฟิวส์ (Fuse Base) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับติดตั้งฟิวส์ในวงจรไฟฟ้า โดยทำหน้าที่รองรับและยึดฟิวส์ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถตัดกระแสไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดกระแสเกินหรือการลัดวงจร ฐานฟิวส์ช่วยให้การเปลี่ยนฟิวส์ที่ขาดเป็นไปอย่างสะดวกและปลอดภัย
ประเภทของฟิวส์และฐานฟิวส์ที่ช่างไฟควรรู้
ฟิวส์มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ฟิวส์และฐานฟิวส์ที่เหมาะสมกับโหลดและลักษณะการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญ ตัวอย่างของฟิวส์และฐานฟิวส์ที่นิยมใช้ ได้แก่
| ประเภทฟิวส์ | คุณสมบัติและการใช้งานที่เหมาะสม |
|---|---|
| ฟิวส์หลอดแก้ว (Glass Tube Fuse) | เหมาะสำหรับวงจรที่มีกระแสไฟฟ้าต่ำ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ |
| ฟิวส์เซรามิก (Ceramic Fuse) | ทนต่อกระแสไฟฟ้าสูงและอุณหภูมิสูง เหมาะสำหรับวงจรที่มีกระแสไฟฟ้าสูง |
| ฟิวส์ HRC (High Rupturing Capacity Fuse) | ใช้ในระบบไฟฟ้าแรงสูงและอุตสาหกรรม |
ฐานฟิวส์ที่ใช้ร่วมกับฟิวส์เหล่านี้มีหลายรูปแบบ เช่น ฐานฟิวส์แบบเกาะราง (DIN Rail Mount) หรือฐานฟิวส์แบบติดผนัง (Panel Mount) การเลือกฐานฟิวส์ที่เหมาะสมกับฟิวส์และลักษณะการติดตั้งเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงาน
วิธีเลือกขนาดและชนิดของฐานฟิวส์ให้เหมาะกับโหลด
การเลือกขนาดและชนิดของฐานฟิวส์ควรพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
- กระแสไฟฟ้าที่ใช้งาน: เลือกฐานฟิวส์ที่สามารถรองรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดที่วงจรใช้งานได้อย่างปลอดภัย
- แรงดันไฟฟ้า: ฐานฟิวส์ต้องสามารถรองรับแรงดันไฟฟ้าของระบบได้
- ประเภทของฟิวส์: เลือกฐานฟิวส์ที่เหมาะสมกับฟิวส์ที่ใช้งาน เช่น ฟิวส์หลอดแก้ว ฟิวส์เซรามิก หรือฟิวส์ใบมีด
- ลักษณะการติดตั้ง: พิจารณาว่าจะติดตั้งฐานฟิวส์บนราง DIN หรือ ติดผนัง
- สภาพแวดล้อมในการใช้งาน: หากใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นหรือฝุ่นละออง ควรเลือกฐานฟิวส์ที่มีการป้องกันสิ่งแวดล้อมได้ดี
ข้อควรระวังในการต่อสายและยึดฐานฟิวส์
การติดตั้งฐานฟิวส์อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงาน ข้อควรระวังในการต่อสายและยึดฐานฟิวส์ ได้แก่
- ตรวจสอบความแน่นของการยึด: สายไฟควรยึดแน่นกับขั้วต่อของฐานฟิวส์ เพื่อป้องกันการหลวมที่อาจทำให้เกิดความร้อนสะสมและอาร์คไฟฟ้า
- ใช้สายไฟที่มีขนาดเหมาะสม: สายไฟที่มีขนาดเล็กเกินไปอาจไม่สามารถรองรับกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านได้ ทำให้เกิดความร้อนและอาร์คไฟฟ้า
- หลีกเลี่ยงการบิดหรือหักสายไฟ: การบิดหรือหักสายไฟอาจทำให้สายไฟเสียหายและเกิดความร้อนสะสม
- ตรวจสอบฉนวนของสายไฟ: ฉนวนที่เสียหายอาจทำให้เกิดการลัดวงจรและอาร์คไฟฟ้า
เทคนิคป้องกันความร้อนและอาร์คจากการใช้งานฐานฟิวส์ผิดวิธี
การใช้งานฐานฟิวส์ผิดวิธีอาจทำให้เกิดความร้อนสะสมและอาร์คไฟฟ้า ซึ่งเป็นอันตรายต่ออุปกรณ์และผู้ใช้งาน เทคนิคในการป้องกันปัญหาเหล่านี้ ได้แก่
- เลือกฐานฟิวส์ที่มีคุณภาพสูง: ฐานฟิวส์ที่มีคุณภาพสูงจะมีการออกแบบที่ดีและวัสดุที่ทนทานต่อความร้อนและอาร์คไฟฟ้า
- ตรวจสอบการติดตั้งอย่างสม่ำเสมอ: ตรวจสอบความแน่นของการยึดสายไฟและขั้วต่อของฐานฟิวส์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการหลวมที่อาจทำให้เกิดความร้อนสะสมและอาร์คไฟฟ้า
- หลีกเลี่ยงการใช้งานเกินพิกัด: การใช้งานฐานฟิวส์เกินพิกัดที่กำหนดอาจทำให้เกิดความร้อนสะสมและอาร์คไฟฟ้า
ติดตั้งในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม: หลีกเลี่ยงการติดตั้งฐานฟิวส์ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นหรือฝุ่นละอองสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาร์คไฟฟ้า
ตัวอย่างการใช้ฐานฟิวส์ในตู้คอนโทรลจริง
ในตู้คอนโทรลของระบบไฟฟ้าอุตสาหกรรม ฐานฟิวส์มักถูกติดตั้งเพื่อป้องกันอุปกรณ์ควบคุมต่าง ๆ เช่น คอนแทคเตอร์ รีเลย์ และมอเตอร์ ตัวอย่างเช่น การติดตั้งฐานฟิวส์แบบเกาะราง DIN ร่วมกับฟิวส์หลอดแก้วขนาด 10×38 มม. เพื่อป้องกันวงจรควบคุมของมอเตอร์ การติดตั้งฐานฟิวส์ในลักษณะนี้ช่วยให้การเปลี่ยนฟิวส์ที่ขาดเป็นไปอย่างสะดวกและปลอดภัย
ฐานฟิวส์เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันวงจรไฟฟ้าจากกระแสเกินและการลัดวงจร การเลือกใช้ฐานฟิวส์ที่เหมาะสมกับฟิวส์และลักษณะการใช้งาน รวมถึงการติดตั้งอย่างถูกต้องและการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ระบบไฟฟ้าทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
หากคุณกำลังมองหาฐานฟิวส์คุณภาพสูงและอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ สามารถติดต่อเราได้ที่ประธานการไฟฟ้าทุกสาขา หรือช่องทางอื่น ๆ ด้านล่าง
LINE : @prathan
โทรศัพท์ : 02-892-7946 , 092-265-8564
สายไฟ THW คืออะไร แนะนำการเลือกใช้งานให้ถูกต้อง
สายไฟ THW คืออะไร
สายไฟ IEC01 หรือ THW เป็นสายไฟชนิดเดียวกัน และแตกต่างจากสายไฟคอนโทรล ซึ่งมีลักษณะการใช้งานเฉพาะในระบบควบคุมโดยชื่อที่ใช้อาจแตกต่างกันตามความนิยมในกลุ่มผู้ใช้งาน บางคนเรียกว่า IEC01 บางคนเรียกว่า THW หรืออาจเรียกรวมกันว่า IEC01 THW เป็นสายไฟชนิดที่มีฉนวนเปลือกหุ้มด้วย พีวีซี pvc มีลักษณะกลม หุ้มแกนตัวนำทองแดง โดยตัวนำอาจเป็นลวดทองแดงเส้นเดี่ยวเส้นเดียว หรือ เป็นลวดทองแดงหลายเส้น แต่ไม่ถึงขนาดเป็นเส้นฝอย ๆ บิดเกลียว แรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 450/750โวลท์ 70องศาC
>> ราคา สายไฟ THW ทั้งหมด ที่เรามีจำหน่าย <<
ข้อบังคับสีของสายไฟ THW
การเลือกสีของสายไฟ THW ให้เลือกใช้งานตามข้อบังคับของการไฟฟ้า โดยต้องใช้ สีน้ำตาล ดำ เทา จะเป็นสีหลัก สำหรับเป็นเส้น Line(L) L1 L2 L3 ตามลำดับ ส่วนสี ฟ้าอ่อน ใช้เป็นเส้น neutron(N) ส่วนสี เขียวแถบเหลืองจะใช้เป็นสายดิน ลงกราวด์ ground (G) ส่วนสีอื่น แดง เหลือง ขาว ก็อาจใช้ในวงจร ย่อย ๆ เพื่อแบ่งกลุ่มวงจร หรือ กำหนด เพื่อความเข้าใจในการแยกวงจร
ขนาดของสายไฟ THW
สายไฟ THW มีขนาดกันตั้งแต่ เล็กไปจนขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 1.5sqmm. ไปจนถึงถึง 400sqmm. (sqmm. square milimeter คือพื้นที่หน้าตัดของทองแดงไม่รวมฉนวน) การใช้งานขึง ยึดโยง บนลูกถ้วย บนแร็ค ร้อยท่อเหลือง ท่อขาว รางไวร์เวย์ wire way ท่อเหล็ก EMT IMC ท่ออ่อนเหล็ก ท่ออ่อนกันน้ำ โดยยึดไปกับแนวกำแพง แนวรั้ว ในฝ้า ใต้ฝ้า โดยสายไฟ THW IEC01 ห้ามนำไปฝังดิน การทนกระแส ของสาย THW ดูได้ที่ตารางข้างล่าง นอกจากนี้สาย THW ยังนิยมใช้ร่วมกับ สายไฟคอนโทรล เพื่อจัดระบบไฟในตู้ควบคุมหรืออาคารสำนักงานให้เป็นระเบียบ
คุณสมบัติของสายไฟ THW
- ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย เช่น น้ำและสารเคมี ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความคงทน
- ใช้งานได้ดีในระบบเดินสายภายในตัวอาคาร
- เหมาะสำหรับการเดินสายบนราง Wire-Way เพิ่มความเป็นระเบียบในการจัดเก็บสายไฟ
- เหมาะสำหรับการเดินร้อยท่อใต้ฝ้าในอาคารที่พักอาศัย
- สามารถใช้เดินลอยในอากาศได้ โดยมีฉนวนที่ป้องกันการเสื่อมสภาพจากสภาพอากาศ
ประเภทของสายไฟ THW
- THW-f (60227 IEC 02) : หรือที่หลายคนเรียกว่า สายไฟคอนโทรลแบบฝอย คือสายไฟที่มีฉนวน PVC หุ้ม ตัวนำเป็นทองแดงชนิดสายฝอยที่ยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับติดตั้งในตู้คอนโทรลหรืองานไฟฟ้าในพื้นที่แคบ ใช้งานสะดวก
- THW (60227 IEC 01) : เป็นสายไฟที่มีฉนวน PVC หุ้มภายนอก ตัวนำเป็นทองแดงแบบแกนเดี่ยวชนิดแข็ง เหมาะสำหรับการใช้งานในระบบไฟฟ้าภายในอาคารและระบบไฟฟ้าแรงดันต่ำ มีหลายสีให้เลือกตามมาตรฐานมอก. ทำให้เหมาะกับการใช้งานในระบบไฟ 3 เฟส
ข้อแนะนำการใช้สาย THW แต่ละขนาดให้เหมาะสม
ข้อแนะนำสำหรับใช้งานสายไฟ IEC01 THW ในเบื้องต้น สำหรับในอาคารบ้าน และสำนักงานทั่วไป บางขนาดที่เราใช้งานบ่อย ๆ ให้คำนึงถึง การติดตั้ง จำนวนสายและขนาดของสาย ในท่อและรางให้ถูกต้อง นอกจากนั้นจะต้องคำนึงถึงความยาวของสาย แรงดันตก สภาพอุณหภูมิแวดล้อมเป็นสำคัญ

- สายไฟ IEC01 THW 1×1.5 sqmm เหมาะสำหรับต่อวงจรหลอดไฟทั่วไป เช่น โคมไฟ และอุปกรณ์ที่ใช้ไฟไม่มาก มักใช้งานร่วมกับเบรกเกอร์ขนาด 10A–16A ขึ้นอยู่กับวิธีการติดตั้ง
- สายไฟ IEC01 THW 1×2.5 sqmm สายขนาดยอดนิยมสำหรับวงจรย่อยของเต้ารับ หลอดไฟ เครื่องทำน้ำอุ่น เตาไฟฟ้ากำลังไม่เกิน 3,500 วัตต์ และแอร์ขนาดไม่เกิน 18,000 BTU รวมถึงมอเตอร์หรือปั๊มน้ำขนาดเล็กไม่เกิน 1,500W (2HP) ใช้งานร่วมกับเบรกเกอร์ขนาด 16A–20A ตามการออกแบบ
- สายไฟ IEC01 THW 1×4 sqmm เหมาะสำหรับวงจรที่ใช้กำลังไฟฟ้าสูงขึ้น เช่น เต้ารับสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้ากำลังกลาง เครื่องทำน้ำอุ่นไม่เกิน 4,500 วัตต์ และใช้เป็นสายป้อนหลักสำหรับห้องขนาดเล็ก ควรใช้เบรกเกอร์ขนาด 20A–25A
- สายไฟ IEC01 THW 1×6 sqmm เหมาะกับการจ่ายไฟให้เครื่องทำน้ำอุ่นสูงสุด 6,000 วัตต์ แอร์ขนาดใหญ่ หรือใช้เป็นเมนห้องที่มีหลายวงจร ใช้ร่วมกับเบรกเกอร์ขนาด 25A–32A
- สายไฟ IEC01 THW 1×10 sqmm ใช้กับเครื่องทำน้ำร้อน 8,000–10,000 วัตต์ หรือเป็นสายป้อนห้องพักที่มีหลายอุปกรณ์ เช่น แอร์ ไมโครเวฟ เตาไฟฟ้า โดยใช้เบรกเกอร์ 40A และหากติดตั้งแบบร้อยบนแร็ค อาจใช้เบรกเกอร์สูงถึง 50A
- สายไฟ IEC01 THW 1×16 sqmm เหมาะกับเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องจักรที่ใช้พลังงานสูง หรือใช้เป็นสายเมนที่ต่อจากมิเตอร์ขนาด 15(45)A เข้าสู่ตู้คอนซูเมอร์ ควรควบคุมด้วยเบรกเกอร์ขนาด 50A ที่มีค่ากระแสลัดวงจรตามมาตรฐานการไฟฟ้า
- สายไฟ IEC01 THW 1×25 sqmm เมื่อร้อยในท่อ เหมาะสำหรับเป็นสายป้อนวงจรตามชั้นของอาคารที่มีพื้นที่และโหลดสูง โดยใช้เบรกเกอร์ 63A
- สายไฟ IEC01 THW 1×35 sqmm เหมาะสำหรับอาคารที่มีการใช้พลังงานจำนวนมาก โดยติดตั้งในท่อและใช้เบรกเกอร์ขนาด 80A หรือขอมิเตอร์ 30(100)A ต้องคำนึงถึงการเดินสายและขนาดเบรกเกอร์ให้เป็นไปตามข้อกำหนด
- สายไฟ IEC01 THW 1×50 sqmm ใช้เป็นสายเมนหลักของอาคารขนาดใหญ่ที่มีหลายห้องและอุปกรณ์ไฟฟ้าจำนวนมาก ติดตั้งในท่อหรือราง ใช้เบรกเกอร์ขนาด 100A และสามารถขอมิเตอร์ขนาด 30(100)A ได้ตามมาตรฐาน
- IEC01 THW ขนาดใหญ่กว่า 50 sqmm ขึ้นไป ใช้ในงานระดับอาคารหรือโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากหน้าตัดทองแดงใหญ่ขึ้นจึงรองรับกระแสไฟฟ้าได้มาก ต้องคำนวณการใช้งานให้เหมาะสมทั้งในด้านความปลอดภัยและความคุ้มค่า
ข้อดี-ข้อจำกัดของสายไฟ THW
- ข้อดีของสายไฟ THW
- มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมหลากหลาย ทำให้ปลอดภัยในการใช้งาน
- ฉนวน PVC หุ้มภายนอกช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
- สามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร รวมถึงงานเดินลอยและการติดตั้งในราง Wire-Way
- เหมาะสำหรับการใช้งานในระบบไฟฟ้าแรงดันต่ำและระบบไฟฟ้า 3 เฟส
- สามารถใช้ร่วมกับ สายไฟคอนโทรล เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการติดตั้งระบบควบคุมไฟฟ้า
- ข้อจำกัดของสายไฟ THW
- สายไฟ THW ห้ามฝังลงดินอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการร้อยท่อหรือการเดินเปล่า
- สายแบบ THW ที่มีตัวนำแข็งไม่เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง
สายไฟฟ้า THW ทนทานหรือไม่
สายไฟ THW นับว่าเป็นหนึ่งในประเภทสายไฟที่ทนทานสูง เนื่องจากมีฉนวน PVC หุ้มที่สามารถป้องกันความชื้น น้ำ และสารเคมี ช่วยให้สายไฟทนทานต่อสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้งานในอาคารที่อาจมีปัจจัยเสี่ยงที่หลากหลาย เหมาะสำหรับการใช้งานในระยะยาว ทั้งนี้ความทนทานของสายไฟยังขึ้นอยู่กับการติดตั้งที่ถูกวิธีและการดูแลรักษาที่เหมาะสม
ไม่ว่าคุณจะมองหาสายไฟ THW หรือ สายไฟคอนโทรล สำหรับงานระบบไฟฟ้าภายในบ้านหรือโรงงาน ประธานการไฟฟ้า เราคือร้านอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำหน่ายหลากหลายรูปแบบ จากหลายแบรนด์ที่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นสายไฟ Yazaki, สายไฟ United รวมถึง สายไฟ Phelps Dodge มั่นใจได้ว่าคุณจะได้อุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยต่อการใช้งานทั้งในระดับครัวเรือนและระดับอุตสาหกรรม ติดต่อเราได้ที่ Line: @prathan หรือโทร 02-892-7946 , 092-265-8564
รู้ก่อนใช้ สายไฟ VCT คืออะไร มีกี่ประเภท ใช้ยังไง
สายไฟ VCT เป็นหนึ่งในสายไฟฟ้าที่มีความยืดหยุ่นและทนทาน เหมาะสำหรับการใช้งานหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการเดินสายไฟในอาคาร หรือนอกอาคาร สายไฟ VCT มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่สามารถทนแรงดันไฟฟ้าและสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันได้ ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับสายไฟ VCT พร้อมบอกวิธีเลือกใช้งานอย่างถูกต้อง
สายไฟ VCT คืออะไร
สายไฟ VCT คือสายไฟฟ้าที่ประกอบด้วยแกนทองแดงหลายแกน โดยมีฉนวนพีวีซีหุ้มรอบตัวนำ ทำให้มีความยืดหยุ่นและอ่อนตัวสูง นิยมใช้ติดตั้งในอาคารหรือระบบไฟฟ้าที่ต้องการการเคลื่อนย้ายได้บ่อย เหมาะกับการใช้งานทั้งภายในและภายนอกอาคาร
สายไฟ VCT คุณสมบัติคืออะไร
- ยืดหยุ่นและอ่อนตัวสูง : ทำให้ง่ายต่อการติดตั้งและเคลื่อนย้าย
- ทนทานต่อสภาพแวดล้อม : เหมาะกับการใช้งานทั้งภายในและภายนอก
- ทนต่อแรงดันไฟฟ้าสูง : ทนแรงดันไฟฟ้าได้ถึง 450/750 โวลต์
- ทนต่ออุณหภูมิสูง : ใช้งานได้ในสภาพอุณหภูมิสูงสุด 70 องศาเซลเซียส
- ทนทานต่อการสั่นสะเทือน : สามารถใช้ในงานที่มีการสั่นสะเทือนได้ดี เช่น เครื่องจักร
ประเภทของสายไฟ VCT
สายไฟ VCT แบ่งออกได้หลายประเภทตามจำนวนแกนและการมีสายดิน ซึ่งการเลือกใช้งานแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะงานที่ต้องการ โดยทั่วไปจะแบ่งเป็นแบบแกนเดี่ยวและแบบหลายแกน
แบบ 1 แกน ไม่กำหนดสีฉนวน
สายไฟ VCT แบบ 1 แกนเป็นสายที่มีเพียงแกนทองแดงเดียว โดยไม่มีการกำหนดสีของฉนวน มีตั้งแต่ขนาด 4-35 sq.mm. ฉนวนพีวีซีที่หุ้มจะมีคุณสมบัติป้องกันการลัดวงจร เหมาะสำหรับใช้งานทั่วไปที่ไม่ต้องการการแยกสีของฉนวน
แบบหลายแกน
สายไฟ VCT แบบหลายแกนมีการแยกสีของฉนวน เพื่อให้สามารถแยกสายแต่ละเส้นได้ง่ายขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานในระบบไฟฟ้าที่ซับซ้อนมากขึ้น
แบบ 2 แกน ฉนวนสีฟ้าและสีน้ำตาล
สายไฟ VCT แบบ 2 แกนมีฉนวนสีฟ้าและสีน้ำตาล แยกเพื่อใช้ในการเดินสายไฟที่ต้องการการแยกแกนไฟฟ้าสองเส้น ใช้ในการติดตั้งในงานที่ต้องการความสะดวกในการระบุตำแหน่งของสายไฟ
แบบ 3 แกน ฉนวนสีน้ำตาล สีดำ และ สีเทา
สายไฟแบบ 3 แกนนี้มีฉนวนสามสีคือสีน้ำตาล สีดำ และสีเทา เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการควบคุมไฟฟ้าสามสาย เช่น การเชื่อมต่อเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีหลายระบบ
แบบ 4 แกน ฉนวนสีฟ้า สีน้ำตาล สีดำ และสีเทา
สายไฟ VCT แบบ 4 แกนมีฉนวนสีฟ้า สีน้ำตาล สีดำ และสีเทา ใช้ในงานที่ต้องการควบคุมไฟฟ้าสี่สาย โดยเฉพาะในงานระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ต้องการความซับซ้อนในการติดตั้ง
แบบหลายแกนมีสายดิน
สายไฟ VCT แบบหลายแกนมีสายดิน (VCT-G) เป็นอีกหนึ่งประเภทที่เพิ่มความปลอดภัย สามารถนำไปใช้งานที่ต้องการฝังดินได้ เหมาะสำหรับงานไฟฟ้าที่ต้องการความปลอดภัยสูงขึ้น ซึ่งแกนที่เพิ่มเข้ามาเป็นแกนสีเขียวแถบเหลือง
- สายไฟ VCT แบบ 2 แกน ประกอบด้วย ฉนวนสีเขียวแถบเหลือง สีฟ้า และสีน้ำตาล
- สายไฟ VCT แบบ 3 แกน ประกอบด้วย ฉนวนสีเขียวแถบเหลือง สีน้ำตาล สีดำ และสีเทา
- สายไฟ VCT แบบ 4 แกน ประกอบด้วย ฉนวนเขียวแถบเหลือง สีฟ้า สีน้ำตาล สีดำ และสีเทา
ข้อดี-ข้อเสียของสายไฟ VCT
- ข้อดี
- มีความยืดหยุ่นสูง
- ทนทานต่อแรงดันไฟฟ้าและสภาพแวดล้อม
- สามารถติดตั้งทั้งภายในและภายนอกอาคาร
- มีหลายขนาดและประเภทให้เลือกใช้งาน
- ใช้งานในระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้
- ข้อเสีย
- สาย VCT แบบธรรมดาไม่เหมาะสำหรับฝังดินโดยตรง
- ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสายไฟทั่วไป
VCT เหมาะกับการใช้งานแบบไหนบ้าง
- เดินสายไฟในอาคาร : ใช้ในระบบไฟฟ้าภายในอาคาร
- เดินสายไฟกลางแจ้ง : เหมาะสำหรับใช้งานภายนอกอาคาร
- ติดตั้งในเครื่องจักร : ทนต่อการสั่นสะเทือนและแรงดันไฟฟ้าสูง
- ใช้งานในระบบไฟฟ้าโรงงาน : รองรับงานระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่
- งานที่ต้องการความปลอดภัยสูง : สาย VCT-G เหมาะสำหรับฝังดิน
สายไฟฟ้า VCT ทนทานหรือไม่
สายไฟ VCT มีความทนทานสูงทั้งในด้านการใช้งานและความยืดหยุ่น ฉนวนพีวีซีที่ใช้หุ้มมีคุณสมบัติทนต่อแรงดันไฟฟ้าและความร้อน ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น งานภายนอกอาคาร หรืองานที่มีการสั่นสะเทือน
สรุปบทความ
สายไฟ VCT เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับงานติดตั้งระบบไฟฟ้าในหลากหลายรูปแบบ ทั้งงานภายในและภายนอกอาคาร ด้วยคุณสมบัติที่ทนทานและยืดหยุ่น คุณสามารถหาซื้อสายไฟ VCT คุณภาพสูงจากแบรนด์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น สายไฟ VCT Yazaki หรือ สายไฟ VCT TU ได้ที่ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าประธานการไฟฟ้า เรามีสายไฟ VCT หลากหลายประเภทให้เลือก พร้อมบริการจัดสั่งทั่วประเทศ! หากสนใจสั่งซื้อ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Line: @prathan หรือโทร 02-892-7946 , 092-265-8564
ทามเมอร์ (TIMER) คืออะไร มีกี่ประเภท ใช้งานอย่างไรบ้าง
“ทามเมอร์” (TIMER) เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่สำคัญ แต่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับการทำงานหรือประเภทของมัน บทความนี้เราจึงจะมาพูดถึงหลักการทำงาน ประเภทของทามเมอร์ และวิธีเลือกใช้ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานต่าง ๆ
ทามเมอร์ (TIMER) คืออะไร
ทามเมอร์เป็นอุปกรณ์ควบคุมเวลาเพื่อสั่งเปิด-ปิดการทำงานของเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าตามเวลาที่ตั้งไว้ เช่น การตั้งเวลาเปิดปิดไฟอัตโนมัติในบ้าน การควบคุมการทำงานของเครื่องจักรในโรงงาน หรือการควบคุมระบบทำความเย็น นอกจากการใช้งานทั่วไป ทามเมอร์ยังถูกนำมาใช้ในการตั้งค่าระบบการทำงานอัตโนมัติที่ช่วยให้การทำงานของอุปกรณ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
หลักการทำงานของทามเมอร์
หลักการทำงานของทามเมอร์จะขึ้นอยู่กับประเภทของทามเมอร์ แต่โดยรวมแล้วมันทำงานโดยการตั้งค่าช่วงเวลาที่เราต้องการให้ทามเมอร์เริ่มทำงานหรือหยุดการทำงานของอุปกรณ์ เมื่อถึงเวลาที่ตั้งไว้ ทามเมอร์จะส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์เพื่อสั่งให้มันทำงานหรือหยุดการทำงาน และแต่ละประเภท สามารถตั้งค่าเวลาที่แตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งานได้
ประเภทของทามเมอร์
ทามเมอร์มีหลายประเภท แต่ละประเภทมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของการควบคุมการทำงานและความแม่นยำในการตั้งเวลา เราจะมาทำความรู้จักกับประเภทของทามเมอร์ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
Analog Timer
Analog Timer เป็นทามเมอร์แบบดั้งเดิมที่ใช้เข็มในการปรับตั้งเวลาการทำงานของเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า โดยส่วนใหญ่การทำงานของ Analog Timer จะมีความเรียบง่ายและใช้งานไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับการใช้งานที่ไม่ต้องการความแม่นยำสูงมาก
Digital Timer
Digital Timer เป็นทามเมอร์ที่สามารถตั้งค่าการทำงานได้อย่างละเอียดและแม่นยำมากขึ้น โดยจะแสดงผลผ่านหน้าจอดิจิตอล ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าการทำงานได้หลายโหมด เช่น การตั้งเวลาเปิด-ปิดหลายช่วง การตั้งเวลาแบบหมุนเวียน หรือการรีเซตเวลา Digital Timer ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเนื่องจากความสามารถในการตั้งค่าและความแม่นยำที่สูง
Twin Timer
Twin Timer เป็นทามเมอร์ที่สามารถตั้งเวลาทำงานและเวลาหยุดพักได้ในเครื่องเดียว โดยทามเมอร์จะสลับเวลาการทำงานและหยุดพักไปมาโดยอัตโนมัติตามการตั้งค่า ทำให้สะดวกต่อการใช้งานในอุตสาหกรรมที่ต้องการสลับเวลาในการทำงานของเครื่องจักรเป็นระยะ ๆ Twin Timer ยังสามารถแบ่งย่อยได้เป็น Flicker-on และ Flicker-off ขึ้นอยู่กับสถานะที่ต้องการเริ่มต้นทำงาน
Star-delta Timer
Star-delta Timer เป็นทามเมอร์ที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมการสตาร์ทมอเตอร์แบบ Star-delta โดยเฉพาะ ซึ่งใช้เพื่อช่วยลดกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในช่วงเริ่มต้นของมอเตอร์ โดยจะสลับการทำงานระหว่าง Star และ Delta ตามเวลาที่ตั้งไว้ เป็นทามเมอร์ที่สำคัญในการใช้งานกับระบบมอเตอร์ขนาดใหญ่
ประโยชน์ของทามเมอร์
- ควบคุมเวลาการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดการใช้พลังงานโดยการตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติ
- เพิ่มความสะดวกในการควบคุมระบบอัตโนมัติในโรงงานหรือที่พักอาศัย
- ป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้าจากการใช้งานเกินพิกัด
- เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานเครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า
วิธีการเลือกใช้ Timer
- เลือกช่วงเวลาที่ต้องการตั้งค่า
- ตรวจสอบแรงดันไฟฟ้าที่ต้องการใช้งาน
- เลือกประเภทเอาต์พุตที่เหมาะสมกับการทำงาน
- ดูความทนทานและความแม่นยำของทามเมอร์
- พิจารณาขนาดและการติดตั้งที่เหมาะสม
เลือกทามเมอร์แบบไหนดี
การเลือกทามเมอร์ควรพิจารณาจากความต้องการใช้งาน ประเภทของงาน และความสะดวกในการติดตั้ง นอกจากนี้การเลือกยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือและคุณภาพสูงก็เป็นสิ่งสำคัญ
- Panasonic : เป็นยี่ห้อที่มีชื่อเสียงด้านความทนทาน มีทามเมอร์ทั้งแบบ Analog และ Digital เหมาะสำหรับการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม

- Theben : มีชื่อเสียงในการผลิตทามเมอร์ที่แม่นยำ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความละเอียดสูง

- Grasslin : โดดเด่นในด้านการตั้งค่าหลายโหมด เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่นในการควบคุมเวลา

- Haco : มีทามเมอร์หลายรูปแบบที่ใช้งานง่ายและราคาประหยัด เหมาะสำหรับงานทั่วไปในบ้านหรือออฟฟิศ

นอกจากนี้ยังมี Timer ยี่ห้ออื่น ๆ ที่มีคุณภาพให้ได้เลือกสรร สามารถเลือกดูทามเมอร์อื่น ๆ ได้ที่นี่
สรุปบทความ
ทามเมอร์ (TIMER) เป็นอุปกรณ์สำคัญในการควบคุมเวลาการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องจักร ด้วยความหลากหลายของประเภทและยี่ห้อที่มีให้เลือก การเลือกใช้ทามเมอร์ที่เหมาะสมจะช่วยให้การทำงานของอุปกรณ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณต้องการซื้อทามเมอร์คุณภาพดี สามารถเลือกซื้อได้ที่ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าประธานการไฟฟ้า เรามีให้เลือกตามวัตถุประสงค์การใช้งาน อุปกรณ์มีคุณภาพสูงและได้รับมาตรฐาน หากสนใจสั่งซื้อ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Line: @prathan หรือโทร 02-892-7946 , 092-265-8564
แมกเนติกคอนแทคเตอร์ (Magnetic Contactor) คืออะไร ทำงานอย่างไร?
แมกเนติกคอนแทคเตอร์ (Magnetic Contactor) คืออุปกรณ์ไฟฟ้าสำคัญที่ใช้ในการควบคุมวงจรไฟฟ้า โดยเฉพาะในงานอุตสาหกรรมและงานที่ต้องการควบคุมการทำงานของเครื่องจักรใหญ่ อุปกรณ์นี้ทำงานด้วยการใช้สนามแม่เหล็กเพื่อเปิดหรือปิดวงจรไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยให้การควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นไปอย่างอัตโนมัติและปลอดภัยมากขึ้น
แมกเนติกคอนแทคเตอร์ (Magnetic Contactor) คืออะไร
แมกเนติกคอนแทคเตอร์ คืออุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับควบคุมการเปิด-ปิดวงจรไฟฟ้าโดยใช้หลักการทำงานของสนามแม่เหล็ก เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านเข้าสู่คอยล์จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กซึ่งส่งผลให้คอนแทคของแมกเนติกเคลื่อนที่เปิดหรือปิดวงจรไฟฟ้าได้ โดยอุปกรณ์นี้ถูกนำไปใช้ในการควบคุมมอเตอร์และเครื่องจักรต่าง ๆ ในงานอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำและความปลอดภัยสูง
หลักการทำงานของแมกเนติก
แมกเนติกคอนแทคเตอร์ทำงานโดยใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อสร้างสนามแม่เหล็ก ซึ่ง หลักการทำงานจะประกอบไปด้วยขั้นตอนดังนี้
1. คอยล์ได้รับพลังงานไฟฟ้า
คอยล์ของแมกเนติกคอนแทคเตอร์จะได้รับพลังงานไฟฟ้า เมื่อไฟฟ้าไหลผ่านคอยล์จะทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น สนามแม่เหล็กนี้จะดึงแกนเหล็กหรือ armature ให้เคลื่อนที่ ซึ่งจะเป็นขั้นตอนแรกในการทำงานของแมกเนติกคอนแทคเตอร์
2. การปิดคอนแทค
เมื่อ Armature ถูกดึงเข้าสู่สนามแม่เหล็ก คอนแทคหลักจะถูกปิดลง ทำให้วงจรไฟฟ้าเชื่อมต่อและกระแสไฟฟ้าผ่านไปยังอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งาน การปิดคอนแทคนี้ช่วยให้การทำงานของเครื่องจักรหรือมอเตอร์เป็นไปตามคำสั่งอย่างมีประสิทธิภาพ
3. การเปิดคอนแทค
เมื่อการจ่ายพลังงานไฟฟ้าถูกตัดออก สนามแม่เหล็กจะหายไป ส่งผลให้สปริงในคอนแทคเตอร์ดัน armature กลับสู่ตำแหน่งเดิม ซึ่งทำให้คอนแทคหลักถูกเปิด วงจรไฟฟ้าถูกตัดและการทำงานของเครื่องจักรหยุดลง
ส่วนประกอบของแมกเนติกคอนแทคเตอร์
- คอยล์ (Coil) : สร้างสนามแม่เหล็กเมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่าน
- แกนเหล็ก (Core) : ส่วนที่ถูกดึงเข้าหากันเมื่อเกิดสนามแม่เหล็ก
- คอนแทคหลัก (Main Contacts) : ทำหน้าที่ปิดหรือเปิดวงจรไฟฟ้า
- สปริง (Spring) : ดันแกนเหล็กกลับสู่ตำแหน่งเดิมเมื่อไม่มีไฟฟ้าผ่านคอยล์
- คอนแทคเสริม (Auxiliary Contacts) : ใช้ในการควบคุมระบบเสริม
ประเภทของ Magnetic Contactor
Magnetic Contactor แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามชนิดของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในการทำงาน ได้แก่
แบบขดลวดชนิดใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ
แมกเนติกคอนแทคเตอร์ที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในโรงงานอุตสาหกรรมหรือเครื่องจักรที่ต้องการการควบคุมที่แม่นยำและต่อเนื่อง
แบบขดลวดชนิดใช้ไฟฟ้ากระแสตรง
แมกเนติกคอนแทคเตอร์ที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) มักถูกใช้ในงานที่ต้องการความเสถียรสูงและการควบคุมที่ไม่ต้องการการสลับแรงดันสูงต่ำบ่อยครั้ง เช่นในระบบไฟฟ้าสำรองหรือระบบที่ใช้งานกับแบตเตอรี่
ประโยชน์ของ Magnetic Contactor
- เพิ่มความปลอดภัย : สามารถควบคุมการทำงานของวงจรไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัย
- ควบคุมการทำงานอัตโนมัติ : ช่วยให้การเปิดปิดวงจรเป็นไปตามคำสั่งโดยไม่ต้องใช้แรงคน
- รองรับกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ : เหมาะสำหรับควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าหนักหรือเครื่องจักรขนาดใหญ่
- ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร : สามารถป้องกันความเสียหายที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรได้
วิธีการเลือกใช้ Magnetic Contactor
- พิจารณากระแสไฟฟ้าที่ใช้งาน : เลือก Magnetic Contactor ที่รองรับกระแสไฟฟ้าได้ตามความต้องการ
- แรงดันไฟฟ้าที่รองรับ : ตรวจสอบว่าแมกเนติกสามารถรองรับแรงดันไฟฟ้าที่ใช้ในระบบได้
- ประเภทของโหลด : พิจารณาจากลักษณะการใช้งาน เช่น ควบคุมมอเตอร์หรือเครื่องจักร
- คุณภาพและมาตรฐาน : เลือกอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงาน
สรุปบทความ

แมกเนติกคอนแทคเตอร์ (Magnetic Contactor) เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในการควบคุมการเปิดปิดวงจรไฟฟ้าในงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยทำงานด้วยหลักการของสนามแม่เหล็กและช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบไฟฟ้า การเลือกใช้แมกเนติกคอนแทคเตอร์ ควรคำนึงถึงประเภทของไฟฟ้าที่ใช้งานและคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานเพื่อลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าลัดวงจร
ประธานการไฟฟ้า คือร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จำหน่าย แมกเนติกคอนแทคเตอร์ (Magnetic Contactor) และอุปกรณ์งานระบบไฟฟ้าทุกชนิด หากสนใจสั่งซื้อ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Line: @prathan หรือโทร 02-892-7946 , 092-265-8564
ทำความรู้จัก Surge Protection คืออะไร
ปัญหาไฟกระชากเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในบ้านเรือนและสถานที่ทำงาน ซึ่งเกิดจากการที่กระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สาเหตุมักเกิดจากฟ้าผ่า การเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือความผิดปกติของระบบไฟฟ้า ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหายหรือลดอายุการใช้งานได้ การใช้อุปกรณ์ Surge Protection หรือเสิร์จกันฟ้าผ่า จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยป้องกันความเสียหายเหล่านี้
Surge Protection คืออะไร
Surge Protection คืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไฟกระชากชั่วคราวที่เกิดขึ้นกับระบบไฟฟ้า ซึ่งไฟกระชากอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ฟ้าผ่า การปิด-เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือความผิดปกติของระบบไฟฟ้า โดยอุปกรณ์จะช่วยให้ไฟฟ้าที่เกินความจำเป็นเหล่านี้ไม่เข้าถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งสามารถช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้
ประเภทของอุปกรณ์กันไฟกระชากมีอะไรบ้าง
อุปกรณ์กันไฟกระชากมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะการใช้งานและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้
- Surge Protector : อุปกรณ์ที่มีหน้าที่หลักในการป้องกันไฟกระชาก โดยจะทำงานโดยการควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่สูงเกินไปไม่ให้ไหลเข้าสู่อุปกรณ์ไฟฟ้า
- Line Conditioners : ทำหน้าที่รักษาคุณภาพของไฟฟ้า โดยลดสัญญาณรบกวน (Noise) และปรับแรงดันให้คงที่ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรสูง เช่น เครื่องเสียง หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์
- UPS (Uninterruptible Power Supply) : เครื่องสำรองไฟฟ้าที่ช่วยจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองในกรณีที่ไฟฟ้าดับ หรือไฟฟ้าตก เพื่อให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทำงานต่อไปได้โดยไม่สะดุด
ส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์ Surge Protection
อุปกรณ์ Surge Protection มักประกอบไปด้วยชิ้นส่วนหลัก ๆ ดังนี้
- MOV (Metal Oxide Varistor) : ช่วยควบคุมแรงดันไฟฟ้าเมื่อมีแรงดันไฟฟ้าเกินขึ้นมา ซึ่งจะปล่อยกระแสไฟฟ้าลงสู่สายดินเพื่อลดความเสียหาย
- SAD (Silicon Avalanche Diode) : ชิ้นส่วนที่มีความสามารถในการควบคุมกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าสู่อุปกรณ์ในช่วงที่เกิดไฟกระชาก
- GDT (Gas Discharge Tube) : อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันกระแสไฟฟ้าที่มีความแรงสูงมากในช่วงสั้น ๆ ด้วยการปล่อยกระแสไฟลงสู่พื้นดิน
ขั้นตอนการทำงานของ Surge Protection
- เมื่อเกิดไฟกระชาก Surge Protection จะตรวจจับแรงดันไฟฟ้าที่เกินมา
- ระบบจะเปิดช่องทางเพื่อให้กระแสไฟฟ้าเกินถูกนำไปสู่สายดิน
- อุปกรณ์ไฟฟ้าได้รับการป้องกันจากกระแสไฟฟ้าที่เกิน
- เมื่อแรงดันไฟฟ้ากลับมาเป็นปกติ ระบบจะกลับมาทำงานเช่นเดิม
ประโยชน์ของ Surge Protection
- ป้องกันความเสียหายของอุปกรณ์ไฟฟ้า
- ยืดอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้า
- ลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้จากระบบไฟฟ้า
- ช่วยควบคุมคุณภาพไฟฟ้าที่ไหลเข้าสู่อุปกรณ์
- ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอุปกรณ์ไฟฟ้า
วิธีเลือก Surge Protection ให้เหมาะกับการใช้งาน
-
เลือกตามค่า Joule Rating
ค่า Joule สูง หมายถึงสามารถดูดซับพลังงานจากไฟกระชากได้มาก เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องการความปลอดภัยสูง
-
ค่า Clamping Voltage ต่ำ
ยิ่งค่าต่ำ ระบบจะตอบสนองได้เร็วและป้องกันอุปกรณ์ได้ดีกว่า
-
Response Time ต่ำ
ระบบควรตอบสนองภายในไม่กี่นาโนวินาที เพื่อป้องกันความเสียหายได้ทันเวลา
-
เลือกตามจำนวนเต้าเสียบและระบบไฟ (AC/DC)
ตรวจสอบแรงดัน Input-Output ให้ตรงกับอุปกรณ์
-
มาตรฐานความปลอดภัย
ควรเลือกอุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน เช่น IEC, UL, TISI (มอก.) เพื่อความมั่นใจในคุณภาพ
การติดตั้ง Surge Protection อย่างถูกวิธี
-
ติดตั้งในตำแหน่งที่กระแสไฟเข้าสู่ระบบ เช่น ตู้โหลดเซ็นเตอร์
-
เดินสายดินให้ถูกต้องตามมาตรฐานการไฟฟ้า
-
สำหรับระบบโซลาร์เซลล์ ควรติดตั้ง Surge Protection ทั้งฝั่ง DC (ก่อนอินเวอร์เตอร์) และ AC (หลังอินเวอร์เตอร์)
-
ควรให้ช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตเป็นผู้ติดตั้งเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
แบรนด์ Surge Protection ที่ได้รับความนิยมในไทย
-
Suntree — อุปกรณ์กันฟ้าผ่าระดับอุตสาหกรรม ผ่านมาตรฐาน IEC และ RoHS เหมาะกับระบบโซลาร์เซลล์
-
Schneider Electric — มีรุ่นสำหรับทั้งบ้านและโรงงาน มาพร้อมเทคโนโลยีควบคุมแรงดันอัตโนมัติ
-
Panasonic — คุณภาพสูง เหมาะกับอาคารสำนักงานหรือที่พักอาศัย
สรุปบทความ
Surge Protection เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันความเสียหายจากไฟกระชาก โดยเฉพาะเมื่อเกิดฟ้าผ่า หรือแรงดันไฟฟ้าผิดปกติ การติดตั้ง Surge Protection สามารถยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้า ลดความเสี่ยงของไฟฟ้าลัดวงจร และช่วยปกป้องทรัพย์สินของคุณจากความเสียหายประธานการไฟฟ้า คือร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า จำหน่าย Surge Protection และอุปกรณ์งานระบบไฟฟ้าทุกชนิด จากแบรนด์ที่ได้รับมาตรฐาน หากสนใจสั่งซื้อ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Line: @prathan หรือโทร 02-892-7946 , 092-265-8564
รวมสิ่งที่ควรรู้ “เบรกเกอร์กันดูด” คืออะไร จำเป็นจะต้องติดไหม?
เบรกเกอร์กันดูดเป็นอุปกรณ์เซอร์กิตเบรกเกอร์สำคัญที่ช่วยป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูดและไฟรั่ว เพราะหากไม่มีอุปกรณ์ชนิดนี้ติดตั้งไว้ในบ้านหรือที่ทำงาน อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับเบรกเกอร์กันดูด ว่าคืออะไร มีกี่ประเภท และวิธีการติดตั้งที่ถูกต้อง
เบรกเกอร์กันดูด คืออะไร
เบรกเกอร์กันดูด หรือ Residual Current Device (RCD) คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติเมื่อเกิดกระแสไฟฟ้ารั่วไหลจากวงจรปกติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการเสียบปลั๊กที่เสียหายหรือการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกิดไฟรั่ว ซึ่งเบรกเกอร์กันดูดช่วยป้องกันผู้ใช้ไฟฟ้าจากการโดนไฟดูดได้
หน้าที่ของเบรกเกอร์กันดูด
เบรกเกอร์กันดูดมีหน้าที่หลักคือป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วหรือไฟดูดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต เมื่อเกิดกระแสไฟฟ้ารั่วเกินกว่าค่าที่กำหนด คือ 30 มิลลิแอมป์ เบรกเกอร์จะตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติทันที ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกไฟดูดและป้องกันอุบัติเหตุทางไฟฟ้า
หลักการทำงานของเบรกเกอร์กันดูด
เบรกเกอร์กันดูดจะทำงานโดยการตรวจสอบความสมดุลของกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าและออกจากวงจร หากพบว่ามีการรั่วไหลของกระแสไฟที่ผิดปกติ เบรกเกอร์จะทำการตัดกระแสไฟทันที กระแสที่รั่วออกไปในกรณีนี้อาจเกิดจากสายไฟที่เสียหายหรือการสัมผัสกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีไฟรั่ว ซึ่งการตัดไฟนี้ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานเกิดอันตรายจากการโดนไฟดูด
เบรกเกอร์กันดูดมีกี่ประเภท
เบรกเกอร์กันดูดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ RCCB และ RCBO ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะการทำงานและการป้องกันที่แตกต่างกัน ดังนี้
RCCB
RCCB (Residual Current Circuit Breaker) คือเบรกเกอร์กันดูดที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไฟรั่วหรือไฟดูดเท่านั้น โดยไม่สามารถป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจรหรือกระแสเกินได้ จึงต้องใช้งานร่วมกับเบรกเกอร์ป้องกันกระแสเกิน (MCB) เพื่อให้ระบบไฟฟ้าปลอดภัยในทุกกรณี
RCBO
RCBO (Residual Current Circuit Breaker with Overcurrent Protection) มีลักษณะการทำงานที่คล้ายกับ RCCB แต่มีความสามารถพิเศษในการป้องกันกระแสเกินและกระแสไฟฟ้าลัดวงจรได้ในตัว ทำให้สามารถป้องกันไฟรั่ว ไฟดูด และการลัดวงจรในเครื่องเดียวกัน ซึ่งถือเป็นตัวเลือกที่สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น
วิธีติดตั้งเบรกเกอร์กันดูด
การติดตั้งเบรกเกอร์กันดูดเป็นสิ่งที่ควรทำโดยช่างไฟฟ้าที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการทำงานของเบรกเกอร์ ทั้ง RCCB และ RCBO มีวิธีการติดตั้งที่แตกต่างกัน โดยรายละเอียดของการติดตั้งมีดังนี้
วิธีติดตั้งเบรกเกอร์กันไฟรั่ว RCCB
- ปิดไฟที่ Main Breaker
- เชื่อมต่อสายไฟเข้าและสายไฟออกที่เบรกเกอร์ RCCB ให้ถูกต้องตามคู่มือของอุปกรณ์
- เชื่อมต่อสายดินให้ครบถ้วนและตรวจสอบการต่อสายให้ถูกต้อง
- เปิดไฟที่เมนเบรกเกอร์และทดสอบการทำงานของ RCCB
- ตรวจสอบการทำงานของเบรกเกอร์ว่าเปิด-ปิดได้ตามปกติและไม่มีการรั่วของกระแสไฟ
วิธีติดตั้งเบรกเกอร์กันดูด RCBO
- ปิดไฟที่ Main Breaker
- เชื่อมต่อสายไฟเข้าและสายไฟออกที่เบรกเกอร์ RCBO โดยตรวจสอบความถูกต้องตามคู่มือ
- เชื่อมต่อสายดินให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัย
- เปิดไฟที่เมนเบรกเกอร์และทดสอบการทำงานของ RCBO
- ตรวจสอบการทำงานของเบรกเกอร์ให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาไฟรั่ว
ความรุนแรงจากการโดนไฟดูด
การโดนไฟดูดอาจมีผลตั้งแต่รู้สึกเพียงเล็กน้อยไปจนถึงอันตรายถึงชีวิต ซึ่งระดับความรุนแรงขึ้นอยู่กับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่โดนดูด ดังนี้
- ระดับ 1 : โดนดูดแต่ไม่รู้สึก (กระแสต่ำกว่า 0.5 mA)
- ระดับ 2 : โดนดูดรู้สึกได้แต่ไม่เป็นอันตราย (ต่ำกว่า 10 mA)
- ระดับ 3 : โดนดูดทำให้กล้ามเนื้อเกร็งหรือหายใจติดขัด (ต่ำกว่า 20 mA)
- ระดับ 4 : โดนดูดทำให้หัวใจล้มเหลว หมดสติ หรือเสียชีวิต (มากกว่า 30 mA)
สรุปบทความ

การติดตั้งเบรกเกอร์กันดูดเป็นสิ่งที่จำเป็นในการป้องกันไฟดูดและไฟรั่วในที่พักอาศัย โดยมีเบรกเกอร์กันดูดประเภท RCCB และ RCBO ที่ให้ความปลอดภัยที่แตกต่างกัน หากคุณกำลังมองหาเบรกเกอร์กันดูดคุณภาพดีเพื่อความปลอดภัยของบ้านและครอบครัว ประธานการไฟฟ้าคือผู้จำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าคุณภาพที่เชื่อถือได้ เราจำหน่ายเบรกเกอร์ที่ได้มาตรฐานจากแบรนด์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเบรกเกอร์ Schneider, เบรกเกอร์ ABB, เบรกเกอร์ Mitsubishi รวมถึง เบรกเกอร์ Hitachi มั่นใจได้ว่าคุณจะได้อุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยต่อการใช้งานทั้งในครัวเรือนและระดับอุตสาหกรรม ติดต่อเราได้ที่ Line: @prathan หรือโทร 02-892-7946 , 092-265-856
ตารางเทียบการใช้เคเบิ้ลแกลนพลาสติกเข้าสายของขนาดสายไฟต่างๆ

–