ความรู้งานไฟฟ้า - Prathan Electric ความรู้งานไฟฟ้า - Prathan Electric

สายไฟ NYY คืออะไร? รู้ลึกครบทุกเรื่อง พร้อมวิธีเลือกซื้อและติดตั้ง

เมื่อวางแผนระบบไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นงานโครงการใหญ่ งานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่งานเดินไฟรอบบ้าน ชื่อของ สายไฟ NYY มักจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ถูกพูดถึงเสมอ ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรงทนทานและความสามารถในการใช้งานได้หลากหลาย ทำให้เป็นสายไฟที่ได้รับความไว้วางใจจากช่างไฟฟ้าและวิศวกรมาอย่างยาวนาน

แต่สายไฟ NYY ที่เราเห็นนั้นมีกี่ประเภท? เหมาะกับการใช้งานแบบไหนกันแน่? และมีวิธีติดตั้งอย่างไรให้ปลอดภัยและได้มาตรฐานสูงสุด? บทความนี้จากประธานการไฟฟ้าจะตอบทุกคำถามเกี่ยวกับสายไฟ NYY เพื่อให้คุณเลือกซื้อและใช้งานได้อย่างมั่นใจและคุ้มค่าที่สุด

สายไฟ NYY คืออะไร?

สายไฟ NYY (บางครั้งเรียกสายเอ็นวายวาย) คือสายไฟฟ้าทองแดงหุ้มฉนวนและเปลือกนอกด้วย PVC (Polyvinyl Chloride) ชนิดพิเศษ รวมทั้งหมด 3 ชั้น จัดเป็นสายไฟฟ้าแรงดันต่ำที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับการติดตั้งถาวร สามารถทนแรงดันไฟฟ้าได้ 450/750V และทนอุณหภูมิได้สูงสุด 70°C โดยมีคุณสมบัติเด่นคือความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ สามารถทนต่อสภาพแวดล้อม ความชื้น และการกัดกร่อนได้ดี ทำให้สามารถ เดินสายฝังดินได้โดยตรง หรือจะร้อยท่อก็ได้เช่นกัน

คุณสมบัติของสายไฟ NYY

ประเภทของสายไฟ NYY เลือกอย่างไรให้ถูกกับการใช้งาน

สายไฟ NYY มีหลายประเภท โดยแบ่งตามจำนวนแกนและคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละประเภทที่ตอบสนองการใช้งานที่หลากหลาย

แบบ 1 แกน

สายไฟ NYY แบบ 1 แกน หรือที่เรียกว่า Single Core ประกอบด้วยสายทองแดงหนึ่งเส้นหุ้มด้วยฉนวน PVC เหมาะสำหรับการใช้ในระบบไฟฟ้าที่ไม่ต้องการแกนหลายแกน เช่น สายเมนหลักหรือการเดินสายไฟฟ้าในระบบอุตสาหกรรม มีขนาด 1-500 sq.mm ทนแรงดันไฟฟ้าได้ไม่เกิน 450/750V

แบบมีหลายแกน

สายไฟ NYY แบบหลายแกนจะมีตั้งแต่ 2 แกนขึ้นไป เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการหลายสายภายในสายเดียว เช่น การเดินสายไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าที่มีการใช้งานที่ซับซ้อนหรือการเดินสายไฟภายในอาคาร มีขนาด 50-300 sq.mm ทนแรงดันไฟฟ้าได้ไม่เกิน 450/750V

แบบมีหลายแกน มีสายดิน (NYY-G)

สายไฟ NYY-G เป็นสายไฟที่มีหลายแกนและมีสายดินรวมอยู่ภายใน เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการระบบไฟฟ้าปลอดภัย เช่น ระบบไฟฟ้าที่ต้องการให้มีการเชื่อมต่อสายดินเพื่อป้องกันไฟฟ้ารั่ว มีขนาด 25-300 sq.mm

ข้อดี-ข้อเสียของสายไฟ NYY

สายไฟ NYY เหมาะกับการใช้งานแบบไหนบ้าง

สีของสายไฟ NYY หมายถึงอะไร

สายไฟฟ้า NYY ทนทานหรือไม่

สายไฟ NYY มีความทนทานสูง เนื่องจากมีการหุ้มฉนวนหลายชั้น ทำให้สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น ความชื้น ฝุ่นละออง และการฝังดินโดยไม่ต้องใช้ท่อหุ้มเพิ่มเติม อีกทั้งยังสามารถทนทานต่อความร้อนและแรงดันไฟฟ้าได้ดี ทำให้เหมาะสมกับการใช้งานในหลากหลายสภาวะแวดล้อม

สรุปบทความ

สายไฟ NYY เป็นสายไฟที่มีความทนทานและปลอดภัย เหมาะกับการใช้งานในระบบไฟฟ้าทั้งภายในและภายนอกอาคาร โดยเฉพาะการฝังดินและงานที่ต้องการความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมสูง สำหรับผู้ที่กำลังมองหาสายไฟ NYY จากแบรนด์ชั้นนำ เช่น สายไฟ NYY Yazaki สามารถเลือกซื้อได้จากประธานการไฟฟ้า เรามีให้เลือกหลากหลายประเภท ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน!หากสนใจสั่งซื้อสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Line: @prathan หรือโทร 02-892-7946 , 092-265-856

ทำความรู้จักแบรนด์ Suntree ผู้นำอุปกรณ์โซลาร์ DC คุณภาพระดับสากล

Suntree คือผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับระบบโซลาร์เซลล์ที่มีชื่อเสียงในกว่า 100 ประเทศ ด้วยประสบการณ์ยาวนานและการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิต ทำให้สินค้าของ Suntree ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล เช่น IEC, UL, RoHS และได้รับความไว้วางใจจากทั้งผู้ติดตั้งมืออาชีพ วิศวกรระบบ และผู้รับเหมาในโครงการโซลาร์ขนาดเล็กไปจนถึงระดับโรงงาน

จุดแข็งของ Suntree

4 สินค้าหลักของ Suntree

1. DC Fuse – ป้องกันไฟลัดวงจรแบบรวดเร็วและปลอดภัย

2. DC Surge Protection Device (SPD) – ป้องกันไฟกระชากอย่างมีประสิทธิภาพ

3. DC Breaker – ควบคุมและตัดวงจรไฟฟ้าอย่างปลอดภัย

4. DC Combiner Box – รวมสาย PV ก่อนเข้า Inverter

มาตรฐานที่ Suntree ผ่านการรับรอง

วิธีเลือกอุปกรณ์ Suntree ให้เหมาะกับระบบของคุณ

  1. ดูขนาดระบบโซลาร์ – บ้าน, อาคารพาณิชย์ หรือโรงงาน
  2. เลือกแรงดันและกระแสให้เหมาะสม กับแผงและ Inverter
  3. ออกแบบระบบป้องกันครบวงจร (SPD + Breaker + Fuse) เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
  4. ตัวอย่างการเลือกชุดอุปกรณ์:
    • Fuse: SR-30
    • Breaker: SL7N
    • SPD: SUP2H1-PV
    • Combiner Box: รุ่นพร้อมติดตั้งจาก Suntree

ซื้ออุปกรณ์ Suntree ได้ที่ไหน?

Prathan Electric เป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ Suntree ครบวงจรในประเทศไทย พร้อมให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อออกแบบระบบโซลาร์ที่ปลอดภัยและคุ้มค่า

ดูสินค้าได้ที่: อุปกรณ์แบรนด์ Suntree

สายไฟคอนโทรล มีกี่แบบ? ต่างกันยังไง เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย

สายไฟคอนโทรล คืออะไร?

สายไฟคอนโทรล (Control Cable) คือสายไฟที่ออกแบบมาเพื่อใช้ส่งสัญญาณควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักร หรือระบบอัตโนมัติในโรงงานและอาคาร มีความแตกต่างจากสายไฟทั่วไปเพราะถูกออกแบบให้ทนต่อสัญญาณรบกวน การบิดงอ และสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

หน้าที่หลักของสายไฟคอนโทรล ได้แก่:

ประเภทของสายไฟคอนโทรลที่นิยมใช้

ประเภทสายคุณสมบัติการใช้งาน
สาย CVV / CVV-Sสายทองแดงหุ้มฉนวน PVC มีแบบธรรมดาและแบบมีชีลด์งานควบคุมทั่วไปในตู้คอนโทรล
สาย VCT / VCT-Gฉนวนหนา ยืดหยุ่นสูง ทนต่อการบิดงอใช้ในงานที่ต้องเคลื่อนไหว เช่น เครื่องจักรหรือรอกไฟฟ้า
สาย TC / TC-ERทนความร้อนสูง รองรับสภาพแวดล้อมในโรงงานหนักงานอุตสาหกรรมและระบบไฟฟ้ากำลัง
สาย THW / IEC 01สายทองแดงแบบแข็ง หุ้มฉนวน PVCเดินภายในตู้คอนโทรลและระบบไฟฟ้าภายในอาคาร

ลักษณะสำคัญและคุณสมบัติของสายไฟคอนโทรล

การเลือกใช้งานสายไฟคอนโทรลให้เหมาะสม

  1. คำนวณโหลดกระแสและแรงดันไฟฟ้า เพื่อเลือกขนาดสายที่รองรับได้
  2. ดูประเภทการติดตั้ง เช่น เดินลอย เดินในราง หรือร้อยท่อ
  3. พิจารณาสภาพแวดล้อม เช่น ต้องกันน้ำ กันฝุ่น หรือทนความร้อน
  4. เลือกแบบมีชีลด์ ถ้าใช้งานในพื้นที่ที่มีเครื่องจักรหรือแหล่งกำเนิดคลื่นรบกวนสูง
  5. ตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย เช่น มอก. หรือ IEC

ข้อควรรู้ก่อนเลือกซื้อสายไฟคอนโทรล

ซื้อสายไฟคอนโทรลคุณภาพจาก Prathan Electric

Prathan Electric เป็นตัวแทนจำหน่ายสายไฟครบวงจร มีให้เลือกทั้งสาย VCT, THW, CVV, TC พร้อมบริการให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า

ดูสินค้าได้ที่: สายไฟคอนโทรล

ท่อร้อยสายไฟ IMC กับ EMT ต่างกันอย่างไร? เปรียบเทียบคุณสมบัติและวิธีเลือกใช้

ท่อร้อยสายไฟคืออะไร และทำไมต้องใช้?

ท่อร้อยสายไฟ (Conduit) คืออุปกรณ์สำคัญในระบบไฟฟ้าที่ใช้ปกป้องและจัดระเบียบสายไฟให้เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยมีหน้าที่หลักคือ:

ท่อร้อยสายไฟมีหลายประเภท ซึ่งในงานติดตั้งระบบไฟฟ้าอาคารหรือโรงงาน มักใช้ ท่อ EMT และ ท่อ IMC เป็นหลัก เนื่องจากมีความทนทานและมาตรฐานความปลอดภัยสูง

ท่อร้อยสายไฟ EMT คืออะไร?

EMT (Electrical Metallic Tubing) คือท่อโลหะบาง ทำจากเหล็กชุบสังกะสีเพื่อป้องกันสนิม มีคุณสมบัติเด่นคือ

ท่อร้อยสายไฟ IMC คืออะไร?

IMC (Intermediate Metal Conduit) เป็นท่อโลหะที่มีความหนามากกว่า EMT แต่บางกว่า RSC (Rigid Steel Conduit) มีคุณสมบัติเด่นคือ

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง IMC และ EMT

คุณสมบัติEMTIMC
ความหนาของท่อบางหนากว่า EMT แต่บางกว่า RSC
น้ำหนักเบาหนักกว่า EMT
ความแข็งแรงป้องกันแรงกระแทกได้น้อยกว่าป้องกันแรงกระแทกได้ดี
การใช้งานภายในอาคารทั้งภายในและภายนอกอาคาร
การติดตั้งง่าย ดัดง่ายติดตั้งยากกว่า ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ
ราคาถูกกว่าแพงกว่า
อายุการใช้งานปานกลางยาวนานกว่า EMT
การป้องกันสนิมชุบสังกะสีชุบสังกะสี + เคลือบป้องกันพิเศษ

วิธีเลือกท่อร้อยสายไฟให้เหมาะกับงาน

  1. พิจารณาสภาพแวดล้อม
    • งานภายในอาคาร → ใช้ EMT เพื่อความสะดวกและประหยัด
    • งานภายนอกหรือพื้นที่เสี่ยงต่อแรงกระแทก → ใช้ IMC เพื่อความปลอดภัย
  2. ความต้องการด้านความแข็งแรง
    • ถ้าเน้นป้องกันความเสียหายและยืดอายุการใช้งาน → IMC เหมาะกว่า
  3. ตรวจสอบมาตรฐาน
    • ควรเลือกท่อที่ผ่านมาตรฐาน มอก. และมีการชุบกันสนิมอย่างดี

ซื้อท่อร้อยสายไฟ IMC และ EMT คุณภาพจาก Prathan Electric

Prathan Electric มีจำหน่ายทั้ง ท่อ EMT และ ท่อ IMC หลายขนาด พร้อมอุปกรณ์เสริมครบชุด เช่น ข้อต่อ, ข้องอ, และแคลมป์ยึดติด เพื่อให้การติดตั้งปลอดภัยและเป็นมาตรฐานดูสินค้าได้ที่: ท่อ EMT หรือ ท่อ IMC

สวิทชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย คืออะไร? หลักการทำงาน ประเภท และการเลือกใช้งานที่ควรรู้

สวิทชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย (Switching Power Supply) คืออุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้าจาก ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ให้เป็น ไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ด้วยเทคโนโลยีการสวิตช์ความถี่สูง ทำให้ได้แรงดันที่คงที่และแม่นยำ แม้มีการเปลี่ยนแปลงของโหลดในระบบ เหมาะสำหรับการใช้งานในระบบควบคุมไฟฟ้า, กล้องวงจรปิด (CCTV), ระบบสื่อสาร และงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ

คุณสมบัติเด่นของ Switching Power Supply:

หลักการทำงานของ Switching Power Supply

สวิทชิ่งเพาเวอร์ซัพพลายใช้ เทคโนโลยี High-Frequency Switching โดยจะทำการแปลงแรงดัน AC ไปยัง DC ผ่านขั้นตอนหลักดังนี้

  1. Rectifier & Filter – แปลงไฟ AC เป็นไฟ DC เบื้องต้น และกรองสัญญาณรบกวน
  2. High-Frequency Switching – ใช้ทรานซิสเตอร์หรือ MOSFET ในการสวิตช์ความถี่สูงเพื่อลดขนาดหม้อแปลง
  3. Transformer Isolation – ปรับแรงดันให้เหมาะสมกับ Output ที่ต้องการ
  4. Output Rectifier & Filter – แปลงไฟกลับเป็น DC ที่เรียบและเสถียร
  5. Feedback Control – ตรวจสอบและควบคุมแรงดันให้คงที่

เปรียบเทียบกับ Linear Power Supply:

ประเภทของ Switching Power Supply

  1. AC-DC Power Supply
    • Input: 220V AC → Output: DC 5V, 12V, 24V
    • ใช้งานทั่วไปในอุปกรณ์ไฟฟ้าและตู้ควบคุม
  2. DC-DC Converter
    • แปลงแรงดัน DC หนึ่งค่าไปเป็น DC อีกค่า
    • เหมาะสำหรับระบบที่ใช้แบตเตอรี่หรือไฟฟ้ากระแสตรง
  3. Isolated vs Non-Isolated
    • Isolated: มีการแยกวงจรป้องกันไฟรั่ว เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง
    • Non-Isolated: ไม่มีหม้อแปลงแยกวงจร เหมาะกับงานต้นทุนต่ำ
  4. Din Rail Type
    • ออกแบบให้ติดตั้งในรางมาตรฐานของตู้คอนโทรล
  5. Enclosed Type
    • ตัวเครื่องปิดมิดชิด เหมาะกับงานในพื้นที่มีฝุ่นหรือความชื้น

วิธีเลือกสวิทชิ่งเพาเวอร์ซัพพลายให้เหมาะกับงาน

  1. คำนวณโหลดไฟฟ้า
    • รวมกำลังวัตต์ของอุปกรณ์ทั้งหมด และเผื่ออย่างน้อย 25%
    • เช่น โหลด 80W ควรเลือก Power Supply 100W ขึ้นไป
  2. แรงดัน Output ที่ต้องการ
    • ตรวจสอบความต้องการแรงดัน (เช่น 12V DC หรือ 24V DC) ของอุปกรณ์
  3. คุณภาพและมาตรฐาน
    • เลือกสินค้าที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย เช่น CE, RoHS, UL
  4. ระบบป้องกัน (Protection)
    • Overload Protection (ป้องกันโหลดเกิน)
    • Overheat Protection (ป้องกันความร้อนสูง)
    • Short Circuit Protection (ป้องกันไฟลัดวงจร)
  5. สภาพแวดล้อมการติดตั้ง
    • พิจารณาอุณหภูมิ ความชื้น และตำแหน่งติดตั้ง

แบรนด์สวิทชิ่งเพาเวอร์ซัพพลายยอดนิยมในไทย

ซื้อ Switching Power Supply กับ Prathan Electric

Prathan Electric มีสวิทชิ่งเพาเวอร์ซัพพลายหลากหลายขนาดและกำลังไฟ จากแบรนด์ชั้นนำ พร้อมบริการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เลือกใช้อุปกรณ์ได้เหมาะสมกับทุกงาน

ดูสินค้าได้ที่  หมวดสวิทชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย

ตู้คอนโทรล คืออะไร? รู้จักหน้าที่ ประเภท และการเลือกใช้ตู้คอนโทรลไฟฟ้าให้เหมาะกับงาน

ตู้คอนโทรล คืออะไร?

ตู้คอนโทรล (Control Cabinet หรือ Electrical Control Panel) คืออุปกรณ์สำคัญที่ใช้รวมและจัดระเบียบอุปกรณ์ควบคุมระบบไฟฟ้าและเครื่องจักรให้อยู่ในจุดเดียว เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการดูแลระบบ โดยภายในตู้จะมีทั้งเบรกเกอร์, ฟิวส์, คอนแทคเตอร์, รีเลย์, PLC และอุปกรณ์ควบคุมอื่น ๆ จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ

หน้าที่หลักของตู้คอนโทรล

ประเภทของตู้คอนโทรลไฟฟ้า

  1. ตู้ MDB (Main Distribution Board)
    • เป็นตู้ควบคุมระบบไฟหลักของอาคาร โรงงาน หรือระบบไฟฟ้าขนาดใหญ่
    • มักมีเบรกเกอร์หลัก (Main Breaker) และอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าแรงสูง
    • เหมาะสำหรับงานที่ต้องการกระจายไฟไปหลายจุด
  2. ตู้ DB (Distribution Board)
    • ใช้ควบคุมวงจรย่อย เช่น ภายในบ้าน ออฟฟิศ หรือร้านค้า
    • เน้นความกะทัดรัด ติดตั้งง่าย และซ่อมบำรุงสะดวก
  3. ตู้ PLC (Programmable Logic Controller Panel)
    • ใช้ควบคุมเครื่องจักรอัตโนมัติในโรงงาน
    • สามารถโปรแกรมการทำงานตามกระบวนการผลิตได้
    • เหมาะกับระบบอุตสาหกรรมที่ต้องการความแม่นยำสูง
  4. ตู้ Control Panel กันน้ำ/กันฝุ่น
    • ใช้ในงานภายนอกหรือพื้นที่ที่มีฝุ่นและความชื้น
    • ต้องมีมาตรฐาน IP สูง เช่น IP55 หรือ IP65

วัสดุและโครงสร้างของตู้คอนโทรล

คุณสมบัติที่ดีของตู้คอนโทรลคุณภาพ:

วิธีเลือกตู้คอนโทรลให้เหมาะกับงาน

  1. ดูจากขนาดโหลดไฟฟ้า
    • ต้องรองรับกระแสไฟและจำนวนวงจรทั้งหมด
  2. พิจารณาสภาพแวดล้อม
    • ภายในอาคารอาจใช้เหล็กพ่นสี ส่วนภายนอกควรใช้สแตนเลสหรือไฟเบอร์กลาส
  3. เลือกมาตรฐานความปลอดภัย
    ควรตรวจสอบว่ามีมาตรฐาน IP และมาตรฐานไฟฟ้าที่เกี่ยวข้อง
  4. การระบายความร้อน
    • เลือกตู้ที่มีระบบระบายอากาศหรือติดตั้งพัดลมระบายความร้อน

ทำไมควรเลือกซื้อตู้คอนโทรลจาก Prathan Electric

ดูสินค้าตู้คอนโทรลได้ที่ ตู้คอนโทรล

เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) คืออะไร? แนะนำประเภทเบรกเกอร์และการเลือกใช้งานให้ปลอดภัย


เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) คืออะไร?

เซอร์กิตเบรกเกอร์ คืออุปกรณ์ตัดวงจรไฟฟ้าอัตโนมัติเมื่อเกิดกระแสเกินหรือลัดวงจร เพื่อป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าและลดความเสี่ยงไฟไหม้ ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบไฟฟ้า ทั้งในบ้าน อาคารสำนักงาน และโรงงานอุตสาหกรรม

หน้าที่หลักของเบรกเกอร์มี 2 อย่างคือ:

  1. ป้องกันกระแสเกิน (Overcurrent Protection) – เมื่อโหลดไฟฟ้าสูงกว่าพิกัดที่กำหนด
  2. ป้องกันการลัดวงจร (Short Circuit Protection) – เมื่อสายไฟหรืออุปกรณ์เกิดการลัดวงจร

ทำไมเซอร์กิตเบรกเกอร์ถึงสำคัญ?

ประเภทของเซอร์กิตเบรกเกอร์

1. MCB (Miniature Circuit Breaker)

ตัวอย่างการใช้งาน: ติดตั้งในตู้เบรกเกอร์ภายในบ้านเพื่อควบคุมวงจรแสงสว่างและปลั๊กไฟ

2. MCCB (Molded Case Circuit Breaker)

ตัวอย่างการใช้งาน: ใช้เป็นเมนหลักของตู้ไฟในโรงงาน

3. ACB (Air Circuit Breaker)

ตัวอย่างการใช้งาน: ใช้ในตู้เมนไฟฟ้าหลักของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่


วิธีเลือกเซอร์กิตเบรกเกอร์ให้เหมาะกับการใช้งาน

  1. คำนวณโหลดไฟฟ้า – รวมกำลังไฟฟ้าของอุปกรณ์ทั้งหมดในวงจร
  2. เลือกขนาดกระแสพิกัด (Rated Current) – เช่น บ้านทั่วไปใช้ MCB 16A–32A
  3. ตรวจสอบค่าการตัดวงจร (Breaking Capacity) – ให้เหมาะกับระบบ เช่น 6kA, 10kA
  4. เลือกยี่ห้อที่ได้มาตรฐาน – เช่น Panasonic, Mitsubishi, Schneider, ABB
  5. พิจารณามาตรฐานความปลอดภัย – ควรมีเครื่องหมาย มอก. และ IEC
  6. ปรึกษาช่างไฟที่มีใบอนุญาต – เพื่อให้การติดตั้งถูกต้องตามหลักวิศวกรรมไฟฟ้า

เทคนิคติดตั้งเซอร์กิตเบรกเกอร์ให้ปลอดภัย


การเลือกและติดตั้ง เซอร์กิตเบรกเกอร์ อย่างถูกต้องจะช่วยปกป้องทั้งชีวิตและทรัพย์สินของคุณ การเลือกประเภท MCB, MCCB หรือ ACB ควรพิจารณาจากลักษณะการใช้งานและขนาดโหลดไฟฟ้า โดยเลือกสินค้าที่ได้มาตรฐานและติดตั้งโดยช่างไฟมืออาชีพ

สนใจสั่งซื้อเซอร์กิตเบรกเกอร์คุณภาพจากแบรนด์ดัง เช่น Panasonic, Mitsubishi, Schneider คลิกดูสินค้าได้ที่เบรกเกอร์

ท่อเฟล็กซ์เหล็ก เดินไฟในจุดยาก ใช้งานแบบมือโปร

ท่อเฟล็กซ์เหล็ก (Flexible Metal Conduit) เป็นอุปกรณ์สำคัญในงานระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความซับซ้อนหรือเข้าถึงยาก เช่น มุมอับ พื้นที่แคบ หรือบริเวณที่มีการสั่นสะเทือนสูง ด้วยคุณสมบัติที่ยืดหยุ่นและทนทาน ท่อเฟล็กซ์เหล็กจึงเป็นทางเลือกที่ช่างไฟฟ้ามืออาชีพไว้วางใจ

ท่อเฟล็กซ์เหล็กคืออะไร? มีข้อดีเหนือท่อ PVC อย่างไรบ้าง

ท่อเฟล็กซ์เหล็ก หรือที่รู้จักกันในชื่อ FMC (Flexible Metal Conduit) ผลิตจากเหล็กกล้าชุบสังกะสีแบบจุ่มร้อน (Hot-Dip Galvanized Steel) มีโครงสร้างแบบลอนเกลียว (Interlock) ที่ให้ความยืดหยุ่นสูง สามารถโค้งงอได้ตามต้องการ เหมาะสำหรับการเดินสายไฟในพื้นที่ที่มีความซับซ้อนหรือมุมอับที่ท่อแข็งไม่สามารถเข้าถึงได้

ข้อดีของท่อเฟล็กซ์เหล็กเมื่อเทียบกับท่อ PVC ได้แก่

ชนิดของท่อเฟล็กซ์ที่นิยมใช้ในไทย

ในประเทศไทย ท่อเฟล็กซ์เหล็กที่นิยมใช้มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้:

  1. ท่อเฟล็กซ์เหล็กธรรมดา: เป็นท่อเหล็กชุบสังกะสีที่ไม่มีการหุ้ม PVC เหมาะสำหรับการใช้งานภายในอาคารที่ไม่มีความชื้นสูง
  2. ท่อเฟล็กซ์เหล็กกันน้ำสีเทา : เป็นท่อเหล็กชุบสังกะสีที่หุ้มด้วย PVC สีเทา มีคุณสมบัติกันน้ำและความชื้น เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงหรือภายนอกอาคาร
  3. ท่อเฟล็กซ์เหล็กกันน้ำสีดำ : เป็นท่อเหล็กชุบสังกะสีที่หุ้มด้วย PVC สีดำ มีความทนทานสูง เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความรุนแรงหรือมีการสั่นสะเทือนสูง

วิธีเลือกขนาดและความยืดหยุ่นของท่อ

การเลือกขนาดและความยืดหยุ่นของท่อเฟล็กซ์เหล็กควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

เทคนิคเดินท่อในพื้นที่แคบหรือมุมอับ

การเดินท่อเฟล็กซ์เหล็กในพื้นที่แคบหรือมุมอับสามารถทำได้โดยใช้เทคนิคดังนี้:

วิธีจับยึดท่อเฟล็กซ์ให้แน่น ลดการสั่นสะเทือน

การจับยึดท่อเฟล็กซ์เหล็กให้แน่นและลดการสั่นสะเทือนสามารถทำได้โดย:

มาตรฐานการติดตั้งและข้อควรระวังที่ช่างไฟควรรู้

การติดตั้งท่อเฟล็กซ์เหล็กควรปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อควรระวังดังนี้:

ท่อเฟล็กซ์เหล็กไม่เพียงแต่ช่วยให้การเดินสายไฟในพื้นที่แคบหรือมุมอับกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ในด้านความปลอดภัย ความทนทาน และความยืดหยุ่นในการติดตั้งอีกด้วย สำหรับช่างไฟฟ้ามืออาชีพ การเข้าใจประเภท การเลือกใช้อย่างถูกต้อง รวมถึงการติดตั้งตามมาตรฐาน ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้งานระบบไฟฟ้ามีความเสถียรและปลอดภัยในระยะยาว

หากคุณกำลังมองหาท่อเฟล็กซ์เหล็กคุณภาพสูงและอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ สามารถติดต่อเราได้ที่ประธานการไฟฟ้าทุกสาขา หรือช่องทางอื่น ๆ ด้านล่าง

LINE : @prathanโทรศัพท์ : 02-892-7946 , 092-265-8564

เบรกเกอร์ vs เบรกเกอร์กันดูด ต่างกันอย่างไร? ช่างไฟต้องรู้

เบรกเกอร์คืออะไร? ทำหน้าที่อะไรในระบบไฟ

เบรกเกอร์ หรือ เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) เป็นสวิตช์ไฟฟ้าอัตโนมัติที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าส่วนเกิน เช่น โหลดเกินหรือไฟฟ้าลัดวงจร  เมื่อเกิดความผิดปกติในวงจรไฟฟ้า เบรกเกอร์จะตัดกระแสไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าและลดความเสี่ยงจากไฟไหม้

เบรกเกอร์กันดูด (RCCB / RCBO) คืออะไร? ป้องกันอะไรได้บ้าง

เบรกเกอร์กันดูด หรือ RCCB (Residual Current Device) เป็นอุปกรณ์ที่ตรวจจับกระแสไฟฟ้าที่รั่วไหลลงดิน และตัดวงจรอัตโนมัติเมื่อเกิดกระแสไฟฟ้ารั่วตามค่าที่กำหนด  RCBO (Residual Current Circuit Breaker with Overcurrent Protection) เป็นอุปกรณ์ที่รวมคุณสมบัติของ RCCB และเบรกเกอร์ทั่วไปไว้ด้วยกัน สามารถป้องกันทั้งไฟรั่ว ไฟดูด และกระแสไฟฟ้าเกิน 

ความแตกต่างของการติดตั้งและหน้าที่ระหว่างเบรกเกอร์ทั่วไปกับกันดูด

ประเภทอุปกรณ์ หน้าที่หลัก การติดตั้ง เหมาะสำหรับ
เบรกเกอร์ทั่วไป (MCB) ป้องกันกระแสไฟฟ้าเกินและไฟฟ้าลัดวงจร ติดตั้งในตู้คอนซูมเมอร์ ระบบไฟฟ้าทั่วไปในบ้านและอาคาร
เบรกเกอร์กันดูด (RCCB) ป้องกันไฟรั่วและไฟดูด ติดตั้งร่วมกับเบรกเกอร์ทั่วไป พื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อไฟรั่ว เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว
เบรกเกอร์กันดูดแบบรวม (RCBO) ป้องกันทั้งไฟรั่ว ไฟดูด และกระแสไฟฟ้าเกิน ติดตั้งแทนเบรกเกอร์ทั่วไป ระบบไฟฟ้าที่ต้องการความปลอดภัยสูง

สถานการณ์ที่ควรใช้เบรกเกอร์กันดูด

การติดตั้งเบรกเกอร์กันดูดเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อไฟรั่วหรือไฟดูด เช่น

การติดตั้งเบรกเกอร์กันดูดในพื้นที่เหล่านี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานและลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุทางไฟฟ้า

วิธีเลือกเบรกเกอร์ให้เหมาะกับงานบ้านและงานอุตสาหกรรม

การเลือกเบรกเกอร์ที่เหมาะสมควรพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  1. ประเภทของโหลดไฟฟ้า: สำหรับโหลดที่มีกระแสไฟฟ้าสูงในช่วงเริ่มต้น เช่น มอเตอร์ ควรเลือกเบรกเกอร์ที่สามารถรองรับกระแสไฟฟ้าสูงชั่วคราวได้
  2. แรงดันไฟฟ้า: เบรกเกอร์ที่เลือกใช้ควรมีพิกัดแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสมกับระบบไฟฟ้าที่ใช้งาน
  3. สภาพแวดล้อมในการใช้งาน: หากติดตั้งในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง ควรเลือกเบรกเกอร์ที่มีการป้องกันความชื้นได้
  4. มาตรฐานความปลอดภัย: เลือกเบรกเกอร์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย เช่น มอก.
  5. กระแสใช้งาน : ควรเลือกเบรกเกอร์ที่มีค่ากระแสพิกัด (Rated Current) เหมาะสมกับกระแสไฟฟ้าที่ใช้งานจริงในวงจรนั้น ๆ ไม่ควรเลือกเบรกเกอร์ที่มีกระแสต่ำเกินไป เพราะอาจทริปบ่อยโดยไม่จำเป็น และไม่ควรเลือกสูงเกินไป เพราะอาจไม่ตัดวงจรเมื่อเกิดความผิดปกติ ส่งผลต่อความปลอดภัยของระบบโดยรวม

เทคนิคติดตั้งเบรกเกอร์ให้ปลอดภัยและผ่านมาตรฐาน

การติดตั้งเบรกเกอร์อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า ควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้

  1. ตรวจสอบความถูกต้องของการติดตั้ง: ตรวจสอบตำแหน่งการติดตั้ง หน้าตัดทองแดงของสายไฟ (ขนาดสาย) และความแน่นของการเชื่อมต่อ
  2. ตั้งค่ากระแสไฟฟ้าให้เหมาะสม: ตั้งค่ากระแสไฟฟ้าให้เหมาะสมกับภาระงานของวงจร การตั้งค่าที่สูงเกินไปอาจทำให้เบรกเกอร์ทำงานผิดปกติ ส่วนการตั้งค่าที่ต่ำเกินไปอาจทำให้เกิดการตัดวงจรบ่อยครั้ง
  3. ตรวจสอบสภาพการทำงานและทำความสะอาดเบรกเกอร์เป็นประจำ: หากพบว่าเบรกเกอร์ทำงานไม่ปกติ ควรเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ทันที
  4. ตรวจสอบจุดต่อสายและขันน็อตให้แน่น: ก่อนเปิดใช้งาน ควรตรวจสอบทุกจุดต่อสายให้แน่ใจว่าเชื่อมต่ออย่างถูกต้อง และขันน็อตทุกจุดให้แน่นหนาเพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดความร้อนสะสมหรือการอาร์ค ซึ่งอาจนำไปสู่ไฟฟ้าลัดวงจรหรืออัคคีภัยได้ การขันน็อตไม่แน่นถือเป็นสาเหตุหลักของปัญหาหลายกรณีในระบบไฟฟ้า

การเลือกใช้เบรกเกอร์หรือเบรกเกอร์กันดูดที่เหมาะสมกับการใช้งานและการติดตั้งอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบไฟฟ้าในบ้านและอาคาร ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประเภทของโหลดไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า สภาพแวดล้อมในการใช้งาน และมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมที่สุด

หากคุณกำลังมองหาเบรกเกอร์หรือเบรกเกอร์กันดูดคุณภาพสูงและอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ สามารถติดต่อเราได้ที่ประธานการไฟฟ้าทุกสาขา หรือช่องทางอื่น ๆ ด้านล่าง

LINE : @prathan

โทรศัพท์ : 02-892-7946 , 092-265-8564

ตู้โหลดเซ็นเตอร์ใช้งานยังไง? ช่างไฟเลือกแบบไหนให้เหมาะงาน

ตู้โหลดเซ็นเตอร์ (Load Center) ถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบไฟฟ้าในอาคารขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ หรือโรงงานอุตสาหกรรม โดยทำหน้าที่ควบคุมและกระจายพลังงานไฟฟ้าไปยังวงจรย่อยต่าง ๆ อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การเลือกและติดตั้งตู้โหลดเซ็นเตอร์อย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ช่างไฟฟ้ามืออาชีพไม่ควรมองข้าม

ตู้โหลดเซ็นเตอร์คืออะไร? แตกต่างจากตู้เบรกเกอร์ทั่วไปอย่างไร

ตู้โหลดเซ็นเตอร์เป็นตู้ไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมและกระจายพลังงานไฟฟ้าในระบบไฟฟ้า 3 เฟส โดยภายในตู้โหลดเซ็นเตอร์รุ่น Main Breaker จะมีเบรกเกอร์หลัก (Main Circuit Breaker) ร่วมกับเบรกเกอร์ย่อยสำหรับควบคุมวงจรต่าง ๆ ส่วนรุ่น Main Lug จะไม่มีเบรกเกอร์หลัก แต่มีขั้วต่อสายสำหรับรับกระแสไฟจากแหล่งจ่ายหลัก และควบคุมด้วยเบรกเกอร์ย่อยภายในตู้เช่นกัน

ประเภทของโหลดเซ็นเตอร์: Main Breaker และ Main Lug

ตู้โหลดเซ็นเตอร์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

วิธีเลือกขนาดโหลดเซ็นเตอร์ตามจำนวนวงจรที่ใช้

การเลือกขนาดของตู้โหลดเซ็นเตอร์ควรพิจารณาจากจำนวนวงจรไฟฟ้าที่ต้องการควบคุม และกระแสไฟฟ้ารวมของระบบ โดยทั่วไปควรเลือกตู้ที่สามารถรองรับวงจรได้มากกว่าจำนวนที่ใช้งานจริงประมาณ 20-30% เพื่อเผื่อการขยายในอนาคต

ตัวอย่างเช่น หากต้องการควบคุมวงจรไฟฟ้า 24 วงจร ควรเลือกตู้ที่รองรับได้อย่างน้อย 30 วงจร และมีบัสบาร์ที่สามารถรองรับกระแสไฟฟ้ารวมของระบบได้อย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ ต้องพิจารณาขนาดของกระแสไฟที่ใช้งานด้วย เพราะตู้โหลดเซ็นเตอร์แต่ละรุ่นจะมีบัสบาร์ที่รองรับกระแสไฟได้แตกต่างกัน หากใช้งานไม่เกิน 100A มักเลือกรุ่นที่ใช้บัสบาร์ 100A หรือ 125A (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ) ซึ่งมีราคาย่อมเยากว่า แต่หากระบบใช้กระแสไฟมากกว่า 100A จำเป็นต้องเลือกรุ่นที่เป็นบัสบาร์ 250A เพื่อความปลอดภัยและรองรับโหลดได้เต็มกำลัง

หลักการนี้สามารถใช้ได้ทั้งกับตู้โหลดเซ็นเตอร์แบบ Main Breaker และแบบ Main Lug

ตำแหน่งการติดตั้งที่เหมาะสมตามหลักช่างไฟ

การติดตั้งตู้โหลดเซ็นเตอร์ควรพิจารณาตำแหน่งที่สะดวกต่อการเข้าถึงและการบำรุงรักษา โดยควรติดตั้งในพื้นที่ที่แห้ง ไม่ชื้น และมีการระบายอากาศที่ดี ความสูงจากพื้นถึงกึ่งกลางของตู้ควรอยู่ที่ประมาณ 1.2-1.5 เมตร เพื่อความสะดวกในการใช้งาน

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งตู้โหลดเซ็นเตอร์ใกล้แหล่งน้ำ หรือในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย และควรมีพื้นที่ว่างด้านหน้าตู้ไม่น้อยกว่า 1 เมตร เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน

ข้อควรระวังเรื่องโหลดเกิน และการกระจายไฟอย่างสมดุล

การใช้งานตู้โหลดเซ็นเตอร์ควรระมัดระวังไม่ให้เกิดการโหลดเกิน ซึ่งอาจทำให้เบรกเกอร์ย่อยตัดบ่อยครั้ง หรือเกิดความร้อนสะสมในระบบ ควรออกแบบการกระจายโหลดให้สมดุลระหว่างเฟสทั้งสาม เพื่อป้องกันปัญหาการโหลดไม่สมดุล ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า และอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไฟฟ้า

การตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการใช้เบรกเกอร์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับโหลด จะช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาดังกล่าว

เทคนิคจัดระเบียบสายไฟในตู้โหลดเซ็นเตอร์ให้ปลอดภัยและดูดี

การจัดระเบียบสายไฟภายในตู้โหลดเซ็นเตอร์อย่างเป็นระเบียบ ไม่เพียงแต่ช่วยให้การบำรุงรักษาและการตรวจสอบระบบเป็นไปอย่างสะดวกเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดความร้อนสะสม และป้องกันการลัดวงจร

เทคนิคที่ควรพิจารณา ได้แก่ การใช้รางเดินสายไฟ (Cable Trunking) การจัดกลุ่มสายไฟตามวงจร การใช้สายไฟที่มีขนาดและสีตามมาตรฐาน และการติดป้ายกำกับสายไฟอย่างชัดเจน

การเลือกและติดตั้งตู้โหลดเซ็นเตอร์อย่างเหมาะสม เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ระบบไฟฟ้าภายในอาคารมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ช่างไฟฟ้ามืออาชีพควรให้ความสำคัญกับการเลือกประเภทของตู้โหลดเซ็นเตอร์ การคำนวณขนาดที่เหมาะสม การติดตั้งในตำแหน่งที่ถูกต้อง และการจัดระเบียบสายไฟภายในตู้ เพื่อให้ระบบไฟฟ้าทำงานได้อย่างราบรื่น และลดความเสี่ยงจากปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

หากคุณกำลังมองหาตู้โหลดเซ็นเตอร์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ สามารถติดต่อเราได้ที่ประธานการไฟฟ้าทุกสาขา หรือช่องทางอื่น ๆ ด้านล่าง

LINE : @prathan

โทรศัพท์ : 02-892-7946 , 092-265-8564